ReadyPlanet.com


นักลงทุนตัวอย่าง


ชีวิตในวัย55 ของ ‘เสี่ยยักษ์’ วิชัย วชิรพงศ์ เซียนหุ้นพันล้าน หลังผ่าน’จุดพีค’ในตลาดหุ้น เจ้าตัวเริ่ม Diversify ทรัพย์สินมุ่งสู่ความยั่งยืน

แม้อาชีพการเล่นหุ้นไม่มี “วัยเกษียณ” เหมือนข้าราชการ แต่ผู้กำศึกมาอย่างยาวนานจากทุนรอนในกระเป๋า 2 ล้านบาท ไต่ระดับความสูงสู่พอร์ตหุ้นหลัก “พันล้านบาท” ย่อมมีวัน “ล้า” แม้เขายังจากตลาดหุ้นที่เต็มไปด้วย “น้ำผึ้ง” และ “ยาพิษ” ไปไม่ได้ “เสี่ยยักษ์” วิชัย วชิรพงศ์ ค่อยๆ ลดพอร์ตตัวเองลงเหลือระดับ “ร้อยล้านบาท” และพยายาม Diversify ทรัพย์สินมุ่งสู่ความยั่งยืนระยะยาว นั่นคือการสะสมที่ดินและลงทุนอสังหาริมทรัพย์

ความเป็น “นักฆ่า” ของเรามันหมด สมัยก่อนพร้อมจะสู้พร้อมจะบุก เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปเยอะ จากนี้ไปผมคงจะถือหุ้นเท่าที่มีอยู่เพราะหุ้นมันไม่ได้ปรับตัวลงแรง ใครๆ ก็ “เสียว” พร้อมกับยอมรับว่า ตอนนี้หาหุ้นในดวงใจไม่ได้ หุ้นบางตัวขึ้นมา 100-200% จะให้ไปรักมันได้ยังไง มันผิดวิสัยการลงทุน

วันนี้มีทรัพย์สินสักกี่พันล้านแล้ว! คำถามที่กรุงเทพธุรกิจ BizWeek อยากรู้เหมือนกับใครหลายคน “เฮ้ย! ไม่เอา บอกไปเดี๋ยวอันตราย” ชายวัย 55 ปีที่วันนี้ดูฟิตเปรี๊ยะกว่าเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วมาก ร่างกายที่สูงใหญ่ของเขาดูแกร่งขึ้นเพราะลดอาหารจำพวก “แป้ง” ลง และหันมาว่ายน้ำฟิตร่างกายอย่างหนัก

“คนเราถ้าพยายามจะทำอะไร ถ้าถึงที่สุดแล้วจะเป็นอะไรก็ไม่เสียใจ” ที่จริงเสือเก่าเขียนแผนงาน (ไดอารี่) ประจำปีที่จะต้องทำให้สำเร็จภายในปี 2553 ต้องลดน้ำหนักให้ได้ 2 กิโล และเป้าหมายผลตอบแทนจากการลงทุนแต่ก็ดูจะ “พลาดเป้า” ผ่านมาแล้ว 3 ไตรมาสยังทำไม่ได้ทั้ง 2 อย่าง

ระหว่างที่บทความชิ้นนี้ออกเผยแพร่ เสี่ยยักษ์คงกำลังขี่ฮาร์เลย์ เดวิดสัน เที่ยว “แอลเอ” อย่างมีความสุข ขณะที่เจ้าตัวเผยความในใจว่า การที่ได้ควบฮาร์เลย์ใส่เสื้อหนังฝ่าเปลวแดดอันแสนร้อนระอุบนถนนซูเปอร์ ไฮเวย์ การถือหุ้น 500 ล้านบาทไว้ในพอร์ตยังไม่ตื่นเต้นเท่า

หลายเดือนมาแล้วที่เซียนหุ้นพัน ล้านหันมา “เห่อ” ควบเจ้าฮาร์เลย์ เดวิดสัน หนึ่งในความฝันที่แทรกแทนที่เฟอร์รารี่สีแดงคันงามราคาหลายสิบล้านที่จอด ทิ้งไว้เพราะกลัว “น้ำ” ช่วงหน้าฝน ตลาดหุ้นเริ่มกลายเป็น “งานอดิเรก” มากกว่าเป็น “อาชีพหลัก” สมัยก่อนที่จ้องหน้าจอเคาะหุ้นแบบเอาเป็นเอาตาย..วันนี้เขามีเวลาทำตามความฝันมากขึ้น

“บางวันเดินเข้าห้องน้ำเอาน้ำลูบหน้าตัวเอง มองกระจก วันนี้ (กู) ซื้อหุ้นอะไรไม่ได้สักตัว” พลังไฟของเซียนหุ้นพัน ล้านเริ่มสัมผัสกับสัญชาตญาณ “เสือแก่” นาทีนี้เจ้าตัวขอหลีกทางให้กับ “แวลูอินเวสเตอร์” ที่มาแรงแซงทางโค้งกำไรกัน 200-300% สำหรับปีนี้ยอมรับว่าตัวเองมองตลาด “ผิด” คิดว่าการเมืองคงไม่จบง่ายๆ ตอนนี้เล่นหุ้นน้อยลงเยอะ (มาก) เหลือประมาณ 1 ใน 3

เสือเก่าแห่งตลาดหุ้นค่อยๆ ถอด “เขี้ยวเล็บ” เริ่มเข้าสู่ “วัยชรา” ของวงจรตลาดหุ้นที่มีเซียนหุ้นรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้นแทบทุกวัน  เขายอมรับโดยดุษณีว่าคลื่นลูกใหม่ในวงการนี้กำลังมาแทนที่คลื่นลูกเก่า

“ผมมันเป็นพวกเซียนหุ้นรุ่นสุดท้ายแล้วล่ะ เว็บไซต์ PANTIP ก็ไม่เคยเข้า ประชุมผู้ถือหุ้นก็ไม่ไป คอมพานีวิสิท (ไปเยี่ยมชมกิจการ-สัมภาษณ์ผู้บริหาร) ก็ไม่ไป เล่นหุ้นอ่านหนังสือพิมพ์แค่วันละ 3 ฉบับ ที่ยังเหลืออยู่และเหนือกว่าคือประสบการณ์”

เขาบอกแม้ความเป็น “นักฆ่า” จะไม่เหมือนเดิม แต่สัญชาตญาณของ “เสือเก่า” ยังไม่หมด เมื่อไม่นานมานี้ช่วงชุลมุน 3จี เสี่ยยักษ์ใช้จิตวิทยาการลงทุนหยิบกำไรหุ้น ADVANC ไปเหนาะๆ 8 ล้านบาทจากการเล่น “สวนทางตลาด” และถือ N-PARK เพียง 2 วันกำไรไป 10 ล้านบาท

“ผมเล่นมันๆ มากกว่า หุ้น N-PARK วันนั้นอยู่ที่ 0.3 บาท หลานผมดูงบไตรมาส 2/2553 บอกว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท ที่จริงไม่ได้เป็นกำไรจากการดำเนินงานแต่รับรู้กำไรจากการขายโรงแรมโนโวเท ลบีช รีสอร์ท พันวา ภูเก็ต เราก็คิดว่าเอ็นพาร์คมันขาดทุนมาตลอด ถ้าประกาศกำไรอย่างนี้ก็เล่นได้ ตอนนั้นมันมี Offer (เสนอขาย) ราคา 0.4 บาท อยู่ประมาณ 1,000 ล้านหุ้น ผมเคาะขวาซื้อ 500 ล้านหุ้น ใช้เงินไป 20 ล้านบาท ไปขายที่ 0.6 บาท เล่น 2 วันได้กำไร 10 ล้านบาท”

เสี่ยยักษ์ บอกว่า ความเป็นนักเลงเก่ายังมีอยู่ แต่สไตล์โบราณมากๆ ไม่มีทางจะไปสู้คนอื่นเขาได้ ทุกวันนี้เหลือเล่นแต่ตัวใหญ่ๆ ไม่กี่ตัว PTT, PTTEP, BANPU
“ผมว่าผมเป็นนักลงทุนรุ่นสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ในตลาดหุ้น” เจ้าตัวยอมรับ

ช่วงที่ผ่านมาเสี่ยยักษ์ลบชื่อตัวเองออกจากพื้นที่ข่าว หลังมีชื่อย่อ “ย” เป็นผู้ปล่อยข่าวอัปมงคล เพื่อหวังผลประโยชน์จากการ “ทุบหุ้น-ปั่นหุ้น” เมื่อวันที่ 14-15 ตุลาคม 2552

“ตอนนั้นผมโดนหนักถูกทำร้ายจิตใจมาก ผมไม่คุยกับใครเลย อยู่เงียบๆ เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่ ชีวิตผมมาถึงจุดนี้เราเกินพอแล้ว ไม่มีทางทำเรื่อง (เลวๆ) แบบนี้”

เมื่อไม่นานมานี้ ชื่อวิชัยโผล่ในนามนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หน้าใหม่ เป็นเจ้าของ บริษัท อัครวิชัย พัฒนา จำกัด พัฒนาที่ดิน 120 ไร่ บริเวณถนนบางนา-ตราด กม.19 อำเภอบางพลี ที่เขาซื้อไว้เมื่อปลายปี 2552 ทำธุรกิจโลจิสติกส์และคลังสินค้าให้เช่า รวมทั้งเป็นเจ้าของที่ดิน 56 ไร่ ติดชายทะเลระยอง ปัจจุบันซื้อเพิ่มเป็น 70 ไร่ มีแผนจะพัฒนาเป็น “บูติคโฮเต็ล” ในอนาคตอันใกล้ และยังเป็นเจ้าของที่ดินอีกกว่า 1,000 ไร่ ที่อำเภอแกลง เดิมเคยเป็นสนามกอล์ฟหินสวยน้ำใส ปัจจุบันแบ่งที่ดิน 500-600 ไร่ ปลูกต้นยางนา (ไม้เศรษฐกิจ) ทิ้งไว้ ในอนาคตมีแผนจะพัฒนาที่ดินที่เหลือเป็นสนามกอล์ฟด้วย

“ช่วงที่ผ่านมา ผม Diversify เอาเงินออกจากตลาดหุ้นมา เยอะเลย ซื้อที่ดินเก็บไว้ “ไม่เน่า-ไม่เสีย” แถมดูเหมือนจะเป็นการออมเงินประเภทเดียวที่เอาชนะ “เงินเฟ้อ” ได้ดี และถ้ากลับไปดูคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตติดอันดับ 1 ถึง 10 ทั้งในประเทศไทยและของโลกล้วนมาจากอสังหาริมทรัพย์แทบทั้งนั้น”

ปัจจุบันเจ้าตัวยอมรับว่า ทรัพย์สินส่วนใหญ่อยู่ในที่ดินและลงทุนอสังหาริมทรัพย์มากกว่าในตลาดหุ้น “ถ้าผมเก่งจริงจากพอร์ตร้อยล้านก็กลับไปใหญ่เหมือนสมัยก่อนได้ แต่ถ้าผมกลับไปไม่ได้ข้างหลังผมก็ยังเหลือเยอะ”

หลักคิดของเซียนหุ้นราย นี้ในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์คือลงทุนเท่าที่มีกำลัง “ไม่คิดสร้างหนี้” เพราะหนี้ทำให้เกิด “ทุกข์” ถ้าคนเรารู้สึกว่า “พอแล้ว” จะไปหาความทุกข์มาเพิ่มอีกทำไม

“ที่ดินก็มีอยู่แล้ว กู้ก็ไม่กู้ ทำธุรกิจจะแพ้ได้ยังไง ผมถือคติไว้เลยว่าทำธุรกิจจะไม่เป็นหนี้จะไม่กู้ ถ้าไปทำคอนโดขายเป็นหนี้เขาชีวิตก็ต้องเป็นทุกข์อีก ชีวิตวันนี้มัน(เกิน)พอแล้ว ทำไมต้องไปสร้างหนี้ สไตล์ผมจะค่อยๆ เติบโตจะไม่เริ่มจากทำอะไรใหญ่ๆ”

วิชัยเล่าว่า ที่ดินบริเวณถนนบางนา-ตราด กม.19 มีอนาคตมาก ที่ดินผืนนี้ 120 ไร่ ซื้อมาด้วยต้นทุนที่ถูกมาก เพราะเป็นที่ดิน “ตาบอด” ไม่มีทางเข้าออก ที่ดินรอบข้างขายไร่ละ 7 ล้านบาท แต่มีคนมาเสนอขายให้ในราคาแค่ “ครึ่งเดียว” วิธีแก้ปัญหาก็คือไปร่วมทุนกับเจ้าของที่ดินด้านหน้าที่ติดถนนให้เขามาร่วมหุ้นด้วย

“เขาไม่มีเงินร่วมทุน ผมก็ให้ยืมคิดดอกเบี้ย 8% ต่อปี แล้วให้หุ้นบริษัท เขา 49% แต่เขาต้องมอบภาระจำยอมทางเข้าออกให้เรา เขาแฮป***มาก ราคาที่ดินตาบอด (120 ไร่) ก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ผมไม่เอาเปรียบคนอื่น ผมก็เลยโชคดีได้หุ้นส่วน ดี เขาจัดการให้เราหมด ไม่ต้องเหนื่อยติดต่อกับหน่วยงานราชการและหน่วยงานท้องถิ่น ผมถามเพื่อน 10 คนบอกว่าคุณให้เขาเยอะไป ถ้าไม่มีที่ดินเข้าออกเราก็ทำอะไรไม่ได้ ผมคิดว่า “วิน-วิน” ทั้งสองฝ่าย”

ชีวิตวันนี้ “ผมมีอิสระ สบายใจ ภาระอะไรก็ไม่มี” ที่ดินระยองซื้อมาตั้งแต่ยังไม่ฮิต ขับรถไปตระเวนดูที่ดินติดทะเลอยากได้ที่ปราณบุรีไร่ละ 21 ล้านบาท ซื้อไม่ไหว มาได้ที่ดินริมทะเลระยองไร่ละ 3-4 ล้านบาท ผมเอาหลักการลงทุนในตลาดหุ้นมาใช้ในการซื้อที่ดิน คือซื้อเก็บไว้ตอน “ราคาถูก…ตอนยังไม่ฮิต” แล้วผมจะ “แพ้” ได้ยังไง

“ผมคิดว่าถ้าได้ดอกเบี้ยปีละ 4% ทบต้น เงิน 1 ล้านบาท 16 ปี เงิน 1 ล้านบาทจะเป็น 2 ล้านบาท ถ้าผมเอาเงิน 3 ล้านบาท ซื้อที่ดิน 1 ไร่ 16 ปี จะเป็นไร่ละ 6 ล้านบาทไม่ได้เหรอ ผมคิดง่ายๆ แบบคนไม่มีประสบการณ์แต่ใช้ชั้นเชิงนักลงทุน ตอนไปดูที่ดินที่ระยองไปกับเพื่อน 5 คน พอกลับมาทุกคนหนีผมหมด เลยต้องเอาคนเดียว”

เบื้องหลังการเป็นนักลงทุนที่ดินของเสี่ยยักษ์ เจ้าตัวเล่าแบบขำๆ ว่า จุดเริ่มต้นไม่ได้คิดเรื่องจะเป็นนักพัฒนาที่ดินอะไรเลย ชีวิตผมมีความฝันว่าอยากมีบ้านริมทะเลสักหลังก็เลยชวนเพื่อนไปดูว่าจะเอาตรง ไหนดี ไปดูที่พัทยาไร่ละ 30 ล้านบาทซื้อไม่ไหว ไปดูแถวหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ก็แตะไม่ลง ไปปราณบุรีไร่ละ 21 ล้านแพงไป ผมเลยต้องเลี้ยวรถกลับมาที่ระยอง ภาพลักษณ์มันไม่ค่อยดีทำคอนโดค้างไว้เยอะขายไม่ออก เป็นจังหวัด “ปราบเซียน” ราคาที่ดินก็เลยยังไม่แพง

“ที่ดินของผมอยู่ใกล้ๆ โรงแรมโนโวเทลระยอง อยู่ไปทางอำเภอแกลง พอผมซื้อเสร็จ โครงการภูผาธาราของตระกูลวิไลลักษณ์ มาขึ้นติดกับที่ดินของผมเลย ผ่านมา 3 ปีตอนนี้เขาขึ้นคอนโดแล้ว 3 แท่ง แถมในนั้นมีโรงแรมแมริออทอีก คิดดูว่าผมโชคดีขนาดไหนเลยซื้อเพิ่มติดกับที่เดิมในราคาไร่ละ 8 ล้าน ตอนนี้มีที่ดินติดทะเลระยองทั้งหมดประมาณ 70 ไร่ “ต้นทุนเฉลี่ยผมถูก” นี่คือหลักการเดียวกับการเล่นหุ้น ผมต้องขอบคุณคุณวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ ที่มาลงทุนติดกับที่ดินของผม”

ตอนนี้ รีสอร์ท (บูติคโฮเต็ล) ที่ระยองกำลังอยู่ในขั้นตอนออกแบบ เฉพาะโครงสร้าง 200 ล้านบาท ส่วนที่ดินสนามกอล์ฟเก่า 1,000 ไร่ (ประมูลมาไร่ละประมาณ 2 แสนบาท) ปลูกยางนาต้นใหญ่ๆ ไว้ครึ่งหนึ่งต้องรอผลตอบแทน 15 ปี  “ผมคิดว่าถ้าคุณคิดสั้นๆ ก็ปลูกข้าว ปลูกอ้อย ถ้ามองยาวเก็บไว้เป็นมรดกก็ต้องปลูกไม้ยืนต้น”

เสี่ยยักษ์ บอกว่า การทำรีสอร์ทเป็นหนึ่งในความฝันที่อยากทำ จะไม่กู้ ไม่ทำใหญ่ หวังแค่ให้มันเลี้ยงตัวเองได้ก็พอใจ ตอนนี้ส่งลูกสาวไปเรียนการโรงแรมที่สวิตเซอร์แลนด์ไปได้ 7-8 เดือนแล้ว ลูกคนนี้จบปริญญาตรีวิศวกรรมเคมี จากจุฬาฯ แต่เขามีความฝันอยากมาบริหารรีสอร์ท “ทุกครั้งที่ผมโทรศัพท์หาลูก จะถามเขาเสมอว่าหนูยังมีความฝันอยู่มั้ยลูก เป้าหมายชีวิตหนูยังเหมือนเดิมมั้ย” คนเราต้องมีความฝันและตั้งใจแน่วแน่ ทำอะไรถึงจะสำเร็จ

ล่าสุดก็เพิ่งบินไปสหรัฐอเมริกาไปขี่ฮาร์เลย์เที่ยวกับเพื่อนคนไทยที่ไป ด้วยกัน 11-12 คน ปัจจุบันเสี่ยยักษ์มีฮาร์เลย์แล้ว 2 คัน ตระเวนเที่ยวต่างจังหวัดมาแล้วหลายทริปที่ระยอง หัวหิน เขาใหญ่ สุพรรณบุรี

“ผมมีฝันอยากมีรถสปอร์ต (เฟอร์รารี่) ก็มีแล้วแต่เพื่อนน้อย ขี่ฮาร์เลย์มีเพื่อนเยอะ เคยจะไปขับเครื่องบินแต่แฟนห้ามไม่ให้ไป ขี่ม้าก็อยากลองแต่ยังไม่มีโอกาส ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำตามความฝันได้มันต้องพร้อมก่อน หลานผมอายุ 27-28 แต่ไปตีกอล์ฟเสียเวลาทั้งวัน “มันไม่ใช่” คุณไปวิ่งสวนลุมดีกว่า ผมห่วงเด็กรุ่นใหม่ที่กระโดดเข้ามาตลาดหุ้นเพราะคิดว่ารวยเร็ว ผมว่าอันตราย คุณไปหางานทำรู้จักวิธีหาเงินก่อนดีกว่า”

เซียนหุ้นรายใหญ่ เล่าความในใจให้ฟังว่าเวลาจะไปขี่ฮาร์เลย์จะรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้ง อารมณ์มันช่างแตกต่างจากการตัดสินใจซื้อขายหุ้นเป็นร้อยๆ ล้านบาท มันไม่ตื่นเต้นอะไรเลย

“บ้านชายทะเลที่ระยองของผมรับแขกฮาร์เลย์หลายทริปแล้วนะ พอไปถึงก็เอาเรือเร็ว (สปีดโบต) ออกไปกินข้าวกลางวันที่เกาะเสม็ด แล้วไปนอนเล่นกันที่เกาะทะลุ 3-4 โมงเย็นก็กลับ ส่วนเฟอร์รารี่ขับน้อยช่วงนี้หน้าฝนน้ำเข้าเครื่องแล้วยุ่ง เห็นมั้ยว่าเหรียญ (ทุกอย่าง) มันมีสองด้านเสมอ”

ชีวิตในวัย 55 ปีวันนี้ของเสี่ยยักษ์ จึงไม่ต่างไปจาก “ชีวิตเกษียณ” ของเซียนหุ้น เจ้าตัวกำลังไล่ล่า “ความฝัน” ที่ขาดหาย และ Diversify ความมั่งคั่งสู่ความยั่งยืน



ผู้ตั้งกระทู้ ตัวอย่างนักลงทุน :: วันที่ลงประกาศ 2010-11-01 00:50:07 IP : 124.121.76.171


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3352589)

ปิดมุมมองการลงทุนโดยใช้ระบบเทรด"มนสิช จันทนปุ่ม" นักเก็งกำไรสไตล์ Trend Following ผู้ละทิ้งอีโก้ อารมณ์ พิชิตกำไรในตลาดหุ้น.

"มด" มนสิช จันทนปุ่ม เซียนหุ้นหนุ่มมีความเชื่อว่าศาสตร์ของการเก็งกำไรอยู่บนพื้นฐานของ "เหตุและผล" กราฟไม่ได้หลอก และเจ้ามือไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร รากเหง้าของผลกำไรจากระบบการลงทุนที่ยั่งยืน เกิดจากกลไกพื้นฐานของตลาดซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่สามารถฝืนหรือหลีกเลี่ยงได้ คำถามสำคัญของนักเก็งกำไร ก็คือ เราจะสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนได้อย่างไร..?

 

มนสิชเป็นอดีตนักเรียนวิชาดนตรี ผู้หลงใหลการลงทุนโดยการใช้ระบบเทรดทางสถิติ (System Trader) เขารวบรวมแนวความรู้การใช้เครื่องมือทางเทคนิคไว้ในเว็บไซต์ "แมงเม่าคลับดอทคอม" กรุงเทพธุรกิจ BizWeek นัดพูดคุยกับเขาเรื่อง "เทคนิคการเทรดขั้นสูง" แต่อธิบายให้เข้าใจง่ายในแบบนักดนตรี

 

ส่วนตัวผมลงทุนโดยใช้ระบบเทรดเพื่อตัดอารมณ์ความรู้สึก และใช้เทคนิคคัลแนว Trend Following” เซียนหุ้นหนุ่มเปิดประเด็น..สมัยเด็กๆ เขาก็เริ่มสนใจการลงทุนแล้ว พอจบ ม.6 ก็เริ่มเล่นหุ้นทันที แต่สนใจทางด้านดนตรีด้วยจึงไปศึกษาต่อทางด้านดุริยางคศิลป์ มนสิชก็เหมือนเด็กทั่วไปที่อยากรวยง่ายๆ แต่พอลงสนามจริงๆ กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด

 

เขากล่าวว่า ช่วงที่เริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ ใช้เงินไม่เยอะขายของได้เงินมา "ไม่ถึงแสนบาท" ก็นำมาลงทุนแต่ที่บ้านไม่ค่อยสนับสนุนวิธีคิด ค่อนข้างจะต่อต้านด้วย ในเมื่อหาผู้ให้คำปรึกษาไม่ได้ก็ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง เล่นแล้วก็ไม่ได้เรื่องลุ่มๆดอนๆ ลองผิดลองถูกอยู่ 4-5 ปีถึงจะเริ่มได้กำไรสม่ำเสมอ

 

เจ้าตัวบอกว่าไม่จริงเสมอไป คนเล่นดนตรีจะไม่ชอบตัวเลข นักดนตรีหลายคนก็สามารถคิดเลขได้ดี และมีบทวิจัยยืนยันด้วยว่าการเล่นดนตรีกับการคำนวนสามารถไปด้วยกันได้ หัวสมองก็จะได้ทั้งความสุนทรีย์และความมีเหตุมีผล ถือเป็นการสร้างสมองสองด้านให้สมดุล

 

มนสิช บอกว่า ช่วงแรกที่ลงทุนเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ก็ได้ศึกษาวิธีการลงทุนของผู้ประสบความสำเร็จอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ต่อมาก็เริ่มศึกษาการลงทุนโดยใช้เทคนิคและพบว่าแนวทางนี้ "มันใช่" แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี มีผิดพลาดอยู่เรื่อยๆ ตอนหลังถึงเริ่มจะเข้าใจว่าผิดที่ แก่น” (หลักคิด) ของมันเลย สมัยก่อนพยายามที่จะพยากรณ์อนาคต นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ดูกราฟวันละ 7-8 ชั่วโมง พยายามหาคำตอบแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงหาคำตอบได้ว่าไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้แม่นยำทั้งหมด และไม่มีระบบไหนที่ดีที่สุด

 

ช่วงแรกมีความเข้าใจว่าถ้าเราเทรดพลาดแปลว่าเราทำอะไรผิดสักอย่าง เราเลยยิ่งค้นหาไปเรื่อยๆว่าต้องใช้สัญญาณทางเทคนิคแบบไหนถึงจะถูก คำตอบที่แท้จริงคือเทคนิคมันบอกเพียงแค่ "ความน่าจะเป็น" ไม่ถูก 100% ความน่าจะเป็นของการใช้เทคนิคมันถูกทดสอบจากากรเทรดมาแล้วเป็นพันครั้ง แล้วกำหนดเป็นสูตรออกมาแต่เราจะไม่มีทางรู้ได้ว่าการเทรดของเราครั้งไหนจะถูก"

 

เทรดด้วย "โปรแกรมสถิติ" ยึดระบบ ละทิ้งอีโก้

 

หลังจากมนสิช เริ่มศึกษาการใช้ระบบในการเทรดหุ้น (System Trading) สิ่งที่ตอบโจทย์ก็คือระบบมันตัด อารมณ์และ "ความรู้สึก" ของผู้ลงทุนออกไป ระบบการเทรดจะตัดอะไรที่เป็น นามธรรมออกไปและคิดเฉพาะที่เป็น "ตัวเลข" เท่านั้น สามารถพิสูจน์ได้ว่าขั้นตอนไหนดีหรือไม่ดี ปัจจัยไหนที่จำเป็นหรือไม่จำเป็น ตัดส่วนที่ไม่สำคัญออกไป ส่วนไหนที่เวิร์คก็นำมาจัดเป็นกฎระเบียบในการเทรด การลงทุนจะมีความเที่ยงตรงมากขึ้น การตัดสินใจจะไม่ขึ้นกับอารมณ์ เราจะไม่สนใจสภาวะตลาดเพราะได้ทดสอบความเป็นไปได้ทางสถิติที่เกิดขึ้นซ้ำๆ มาแล้วเป็นสิบปีๆแล้วนำมาพยากรณ์ความน่าจะเป็น เมื่อเราตัดสินใจอย่างเป็นระบบ ผลตอบแทนก็จะสม่ำเสมอ ถ้าเป็นในต่างประเทศจะมีระบบเทรดอัตโนมัติแต่ในไทยยังไม่ถึงขั้นนั้น

 

ยกตัวอย่างง่ายๆ ระบบเทรดคือกฎที่วางไว้ เช่น พอหุ้นทะลุแนวต้านขึ้นมาก็ซื้อ เราจะคำนวณความเป็นไปได้ของมันแล้วมาจับใส่สัญญาณว่าจะซื้อหรือขาย ให้น้ำหนักการลงทุนอย่างไร

 

ด้วยระบบเทรดที่สร้างขึ้นควรที่จะออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสามารถเปลี่ยนแปลงได้แต่คงไม่ถึงขั้นเปลี่ยนรายวัน อาจจะเป็นรายเดือนถึงรายปี เพราะการที่รวบรวมข้อมูลมาเป็นสิบปีคงไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้เยอะนัก

 

ส่วนสไตล์การลงทุนจะเป็นการเล่นตามแนวโน้มหรือ Trend Following ที่จับคู่กับระบบเทรด ที่จริงแล้วสไตล์การลงทุนแบบตามแนวโน้มเป็น "ปรัชญา" อย่างหนึ่งคือเราต้องอยู่กับปัจจุบันแทนที่จะมองอนาคต เราเพียงตอบสนองไปตามสภาพตลาดที่เกิดขึ้น แนวโน้มไปทางไหนเราก็ไปทางนั้น

 

หลักการสำคัญของการเล่นตามแนวโน้มคือ ต้องรู้จัก Cut Loss และ Let Profit Run บริหารความเสี่ยงดีๆ ควบคุมโอกาสขาดทุนให้ต่ำ ถ้ามีกำไรต้องกินยาวๆ เวลาขาดทุนอาจจะเสียแค่บาทเดียวแต่อาจได้กำไรสามบาท แต่ถ้าโอกาสกำไรหรือขาดทุนเท่าๆกันแบบนี้พอร์ตจะไม่ไปไหน

 

หลายคนเชื่อว่าการเก็งกำไรไม่มีทางประสบความสำเร็จ มนสิช ไม่เชื่อแนวคิดนี้การเก็งกำไรมีมานานแล้วในตลาดหุ้นและตลาดคอมมอดิตี้ แม้แต่เฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จมากอย่าง เรเนสซอง เทคโนโลยี ของ จิม ไซมอน ยังสามารถทำกำไรเฉลี่ยทบต้นได้ถึง 34% ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ไม่มีปีไหนที่ขาดทุนและทำกำไรได้ทุกสภาวะด้วย

 

บางทีเราต้องเปิดใจมองอะไรกว้างๆ ผมได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าใช้เทคนิคอย่างเป็นระบบสามารถอยู่รอดได้ หลายๆ คนก็ทำได้ รายย่อยทุกคนก็ต้องทำได้ นักเก็งกำไรไม่ใช่นักพนัน..นักพนันจะเล่นเกมที่เขาอาจแพ้ได้โดยไม่รู้ตัว แต่นักเก็งกำไรจะเล่นเฉพาะเกมที่มีโอกาสชนะ"

 

กับคำถามที่ว่าเราไม่ต้องสนใจปัจจัยพื้นฐานเลยได้มั๊ย!! เซียนหุ้นหนุ่ม บอกว่า จากการสังเกตุพื้นฐานของหุ้นกับกราฟเทคนิคพอจะมีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง ส่วนตัวก็เริ่มลงทุนโดยมีบัฟเฟตต์เป็นไอดอล แต่มีความสุขที่ได้มองกราฟทั้งวันมากกว่า สรุปก็คือ กราฟเทคนิคจะมีความสัมพันธ์กับงบการเงินที่ประกาศออกมาเช่นกัน แต่ส่วนตัวจะเชื่อกราฟและระบบมากกว่า

 

บริหารหน้าตักเหมือนควบคุมเสียงดนตรี

 

มนสิช ไขคำตอบด้วยว่าทำไม! คนที่เก่งเทคนิคแต่พอร์ตกลับไม่โต คำตอบคือจะต้องบริหารหน้าตักหรือ Money Management ที่ดีประกอบด้วย ถ้าเก่งเทคนิคการเทรดเพียงอย่างเดียวไม่ทำให้พอร์ตโตได้จะต้องบริหารหน้าตัก "เป็น" ด้วย มุมมองส่วนตัวเทรดเดอร์คนไหนบริหารเงินในพอร์ตไม่เป็นถือว่า "ไม่เก่งจริง"

 

การบริหารหน้าตักที่ดีจะต้องมาพร้อมกับการบริหารความเสี่ยง เราจะต้องควบคุมความเสี่ยงในทุกครั้งที่เทรดต้องขาดทุนไม่ 1% ของพอร์ต เพราถ้าเสียลึกไปกว่านี้โอกาสที่จะเอาคืนยากมาก สิ่งที่จะทำให้เราขาดทุนไม่ลึกกจะต้องควบคุม ขนาดการลงทุน" นำจุดตัดขาดทุนมาคำนวนกับความผันผวนจะรู้ได้ว่าควรลงเงินเท่าไรในการเทรดต่อครั้ง

 

ในฐานะนักดนตรี เขาเปรียบเปรยหลักการบริหารเงินเหมือน "ตัวควบคุมระดับของเสียง" ถ้าระบบการเทรดคือเสียงที่เราอัด ระบบที่ดีคือเสียงที่เราบันทึกมาว่ามีคุณภาพเป็นอย่างไร ถ้าเราเปิดเสียงเบาเกินไป ผลตอบแทนที่ได้ก็จะต่ำเกินไปหรือฟังแล้วไม่ไพเราะ แต่ถ้าเปิดเสียงดังเกินไปจนลำโพงแตก แทนที่พอร์ตของเราจะกำไรก็ขาดทุนแทน ทุกระบบการเทรดจึงมีขนาดการลงทุนที่เหมาะสมอยู่ มากเกินไปน้อยเกินไปจะไม่ดี "ต้องพอดี"

 

การรักษาความเสี่ยงไม่ให้เกิดบาดแผลใหญ่ในการเทรดแต่ละครั้งคือหัวใจสำคัญของการบริหารหน้าตัก ไม่ว่าคนพอร์ตเล็กหรือใหญ่จะต้องมีการจัดการ Money Management ทั้งนั้น ยิ่งคนพอร์ตเล็กยิ่งต้องสนใจเพราะเราอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ว่ารับความเสี่ยงมากเกินพอร์ตอยู่หรือเปล่า

 

เรียนรู้จิตวิทยาการเทรด

 

มนสิช กล่าวต่อว่า การบริหารหน้าตักยังเชื่อมโยงไปถึงจิตวิทยาการเทรดด้วย เพราะแม้ว่าจะมีระบบการเทรดที่ดี แต่ถ้าพอร์ตเกิดขาดทุนหนักอย่างรวดเร็วอาจจะเกิดอาการช็อกหรือพอทำกำไรได้เร็วมากๆ จะเกิดอาการตื่นเต้นจนทำผิดแผนลงทุนที่วางไว้

 

การเป็นเทคนิคคัลที่ดี วินัยการลงทุนมีความสำคัญมากๆ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจให้ถูกก่อนว่าการใช้เครื่องมือทางเทคนิคมันเป็นเพียงแค่ ความน่าจะเป็นจากการทดสอบมาแล้วหลายร้อยหลายพันครั้ง จึงไม่สามารถบอกได้ทุกครั้งว่าจะต้องได้กำไรเท่าไร เพียงแค่บอกได้ว่าถ้าลงทุนโดยใช้ระบบนี้จะทำให้ได้กำไรหรือไม่ เทรดเดอร์จึงต้องยอมรับในความน่าจะเป็นนี้ แต่หลายคนมี อีโก้เมื่อการลงทุนไม่เป็นไปตามที่ระบบวางไว้ก็จะเกิดความกลัวผิดพลาดตามไปหมดหรือทำใจไม่ได้ที่การตัดสินใจผิดพลาด นำไปสู่การไม่ทำตามระบบที่วางไว้ในที่สุด

 

เหมือนกับการไปเล่นคาสิโนและหยอดเหรียญลงสล็อต ต้องเข้าใจว่าถ้าเราไม่ได้เงินจากการเล่นครั้งนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเรา มันเป็นเพราะดวงไม่ดี การที่เสียเงินจึงไม่ได้เกิดขึ้นจากความผิดของเรา ถ้าเข้าใจได้แบบนี้ถึงจะลงทุนตามระบบได้ในระยะยาว การที่มีอีโก้จะทำให้เราไม่ยอมรับในระบบ ถ้ามีความเข้าใจเรื่องของระบบเทรดมันจะกลบอีโก้เราได้จะช่วยเตือนสติเรา

 

สรุปคือในการเทรดทุกอย่างมันเชื่อมกันหมดทั้งระบบเทรด Money Management และจิตวิทยา นักลงทุนจะต้องเข้าใจทั้งสามสิ่งนี้ถึงจะเทรดแล้วอยู่รอดได้ในระยะยาว ต่อให้ระบบดีแค่ไหนแต่ถ้าบริหารเงินไม่ดีและไม่เข้าใจจิตวิทยาการเทรด ต่อให้ได้กำไรก็ไม่สูงเท่าที่ควรจะได้

 

ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์แมงเม่าคลับ ทิ้งท้ายว่าตลาดหุ้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถเอาชนะได้ยากเกินความสามารถของนักลงทุนรายย่อย ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือการเทรดที่ซับซ้อน ส่วนตัวอยากให้ใช้ชีวิตการลงทุนให้ง่าย ช่วงแรกที่เราสร้างระบบอาจจะยากแต่ถ้าเราสามารถหาระบบที่เหมาะสมกับตัวเราได้ทุกอย่างต่อไปจะง่าย

 

ทำไมนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น ผมคิดว่าพวกเขาไม่มี Passion (ความมุ่งมั่น) ที่จะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง คนส่วนใหญ่ต้องการรวยแบบฉาบฉวย แต่จริงแล้วการลงทุนเหมือนทำธุรกิจคือต้องมีความรู้ ประสบการณ์และทักษะ ช่วงแรกๆเราอาจเจ็บตัวบ้างแต่อย่ายอมแพ้ ทำในสิ่งที่เราชอบและพัฒนามันให้ดีที่สุด

 

มนสิช จันทนปุ่ม ยกตัวอย่างหนังสือที่เขียนขึ้นพิเศษสำหรับสมาชิกเว็บไซต์ โดยยกกรณีศึกษาของ เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ ผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นตำนานแห่งวอลสตรีท โดยเฉพาะช่วงที่เกิดเหตุการณ์ Great Depression ปี 1929 เป็นคนที่เก่งมากแต่มีจุดอ่อนที่ใหญ่ซึ่งน่าจะเป็นบทเรียนสำคัญให้นักลงทุนทุกคน

 

เขาเป็นเซียนหุ้น เซียนคอมมอดิตี้ เมื่อ 90 กว่าปีที่แล้ว เขาเป็นต้นแบบการเก็งกำไร วิชาการเทรดที่เราได้เรียนมาอย่างเล่นตามแนวโน้ม การควบคุมความเสี่ยง ทยอยซื้อช่วงขาขึ้น ฯลฯ เจสซี่เป็นต้นแบบทั้งนั้นทำให้เขาเป็นมหาเศรษฐีและก็เจ๊งหมดตัวและก็กลับมารวยใหม่ แต่สุดท้ายต้องฆ่าตัวตาย น่าสนใจว่าทำไมคนเก่งเรื่องการลงทุนถึงมีผลการลงทุนผันผวนขนาดนี้

 

ข้อคิดจากบทเรียนดังกล่าวก็คือ เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ มักจะ ลืมตัวและลืมในสิ่งที่ตั้งใจไว้เพราะประสบความสำเร็จมามากจนมีอีโก้ที่สูง ถ้าศึกษาแนวทางลงทุนของเขาจะค่อยๆ กำไรจากการเพิ่มโพสิชั่นการเทรดในเวลาที่ตลาดกำลังเป็นขาขึ้นถ้าถูกทางก็จะเติมเงินลงไปเรื่อยๆ แต่พอบางช่วงที่เขาคิดว่าหุ้นจะต้องลงก็ไปชอร์ตไว้แต่กลับไม่ลง เขาก็ทำใจไม่ได้เพราะมั่นใจในตัวเองสูงเลยเฉลี่ยขาดทุน เงินที่มีอยู่เท่าไรก็เติมไปจนหมด สุดท้ายก็ขาดทุนหนักเพราะฝืนแนวโน้มตลาด นี่คือเครื่องเตือนใจว่าแม้จะมีระบบการเทรดและแนวคิดดีแค่ไหน สำคัญคือจะต้องมีการควบคุมอารมณ์เสมอ

 

เขามักจะลืมตัวและลืมในสิ่งที่ตั้งใจไว้ ถึงอย่างไรเขาก็กล้าที่จะเขียนความผิดพลาดของตัวเองลงไปในหนังสือว่าไม่ควรทำแบบนั้นเลย เขาถึงเจ็บซ้ำแบบเดิมๆ เดี๋ยวรวยเดี๋ยวจน จะเห็นได้ว่าเขามีไอคิวการลงทุนสูงแต่มีอีคิวไม่สม่ำเสมอ อารมณ์แบบนี้ทำให้ชีวิตครอบครัวแตกแยก จนต้องยิงตัวตายในที่สุด

ผู้แสดงความคิดเห็น น่ารู้ วันที่ตอบ 2012-12-06 12:50:30 IP : 125.25.5.37



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.