หน้าหลัก | แบบบ้านสร้างสุขใจ | ผลงานรับสร้างบ้าน | วัสดุ | ก่อสร้าง | สัญญา | แบบฟอร์มสร้างบ้าน | บอร์ด | ติดต่อสร้างสุขใจ |
โรคฉี่หนู คืออะไร? อันตรายไหม? | |
“โรคฉี่หนู” นับเป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่มักพบได้ทั่วไปในช่วงหน้าฝน เนื่องจากเชื้อโรคจะเเพร่กระจายได้ดีในพื้นที่น้ำขัง หรือพื้นที่ปศุสัตว์ อาการทั่วไปคล้ายกับอาการไข้หวัด หรือโรคไข้เลือดออกซึ่งโดยปกติแล้วสามารถหายได้เอง แต่อาจเกิดภาวะอวัยวะทำงานล้มเหลว หรือเสียชีวิตได้จากกรณีที่ัเข้ารับการรักษาล่าช้า หรือเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรง
1. โรคฉี่หนู คืออะไร? โรคฉี่หนู หรือโรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Leptospira interrogans จัดเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่อาจมีอันตรายถึงชีวิต ผู้ป่วยโรคดังกล่าวจะได้รับเชื้อจากการสัมผัสเลือดหรือปัสสาวะของสัตว์เลี้ยงเพื่อการเกษตร และสัตว์เลี้ยงภายในบ้านที่ติดเชื้อโรคฉี่หนู ผ่านทางรอยแผล รอยขีดข่วน รอยถลอกบริเวณผิวหนัง ตลอดจนเยื่อบุตา จมูก ปาก ที่เกิดจากการทำกิจกรรมในพื้นที่ชื้นแฉะ มีน้ำท่วมขัง ตลอดจนติดเชื้อจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป 2. ใครมีความเสี่ยงเป็นโรคฉี่หนูได้บ้าง? ผู้ที่ติดเชื้อโรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) หรือโรคฉี่หนู มักมีแนวโน้มที่จะได้รับเชื้อจากการสัมผัสเชื้อใน 3 แหล่งสำคัญ ได้แก่ การสัมผัสกับปัสสาวะของสัตว์เลี้ยงเพื่อการเกษตร และสัตว์เลี้ยงภายในบ้านที่ติดเชื้อโรคฉี่หนูจากพื้นดิน เช่น สุนัขหรือแมว แม้แต่การสัมผัสเชื้อโดยตรงจากพื้นที่น้ำท่วมขัง เช่น ดิน โคลน แหล่ง น้ำ น้ำตก แม่น้ำ หรือลำคลอง และการรับประทานอาหารดิบที่ปนเปื้อนเชื้อโรคฉี่หนู เช่น เครื่องในดิบของสัตว์ พืชผัก ทั้งนี้ สามารถจำแนกผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคฉี่หนูได้ดังนี้ - ผู้ที่ทำงานใกล้ชิด หรือสัมผัสสัตว์ และ/หรือปฏิบัติงานในพื้นที่น้ำท่วมขัง เช่น เกษตรกร ผู้ที่ทำงานปศุสัตว์ คนงานโรงฆ่าสัตว์ สัตวแพทย์ คนงานเหมืองแร่ หรือคนขุดลอกท่อ - ผู้ประสบอุทกภัย หรืออาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขัง - ผู้ที่ทำกิจกรรม หรือเล่นกีฬาทางน้ำ - นักท่องเที่ยวหรือนักสำรวจถ้ำที่ต้องเดินทาง หรือออกสำรวจในพื้นที่น้ำท่วมขัง 3. สังเกตอาการโรคฉี่หนูได้อย่างไร? การแบ่งกลุ่มของผู้ที่มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ป่วยจากโรคฉี่หนู หรือเป็นโรคฉี่หนูแล้วนั้น สามารถพิจารณาได้หลายวิธี เช่น การสังเกต การซักประวัติผู้ป่วย หรือการส่งเชื้อตรวจทางพยาธิวิทยาในห้องทดสอบ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีลักษณะอาการ และวิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกันออกไป โดยสามารถแบ่งกลุ่มผู้มีความเสี่ยงเป็นโรคฉี่หนูได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ - ผู้ป่วยต้องสงสัย (Suspected Case) คือ ผู้ที่มีอาการไข้ร่วมกับอาการปวดกล้ามเนื้อ มี ประวัติการลุยน้้า หรือโคลนในระยะเวลาที่ผ่านมาไม่นาน นอกจากนั้นยังพบกลุ่มอาการที่เกี่ยวข้อง เช่น อาการปวดศีรษะ ตาแดง ไอ ตาเหลืองตัวเหลือง หรือปัสสาวะออกน้อยร่วมด้วย - ผู้ป่วยน่าจะเป็น (Probable Case) คือ ผู้ป่วยต้องสงสัยที่มีผลการตรวจคัดกรอง (Screening Test) เป็นบวกในโรคฉี่หนู หรือโรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) หรือผู้ป่วยต้องสงสัยที่มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง ร่วมกับอาการไตวาย หรือมีอาการเลือดออกในปอด และมีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการพื้นฐานบ่งชี้เชื้อโรคฉี่หนูอย่างน้อยสองในสามอย่าง - ผู้ป่วยยืนยัน (Confirmed Case) คือ ผู้ที่มีอาการไข้และมีประวัติการลุยน้้า หรือโคลนในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่นาน และมีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยัน (Confirmatory Test) 4. อาการของโรคฉี่หนูมีอะไรบ้าง? สามารถแบ่งระยะของอาการโรคฉี่หนู ได้ 2 ระยะสำคัญ คือ 1) ระยะเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด หรือระยะที่จะมีอาการไข้สูง 28 - 40 องศา ปวดศีรษะ หรือปวด/เจ็บกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงมากในทันทีภายหลังจากการรับเชื้อโรคฉี่หนู และ 2) ระยะร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน หรือระยะที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ โดยผู้ป่วยจะยังมีไข้ขึ้น ปวดศีรษะ อาจมีอาการคอแข็ง หรือมีการอักเสบของเยื่อหุ้มสมอง และพบเชื้อโรคออกมาในปัสสาวะ อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยโรคหนูเสียชีวิต มักเกิดการแสดงอาการไม่เฉพาะเจาะจงในระยะแรกของการเป็นโรคฉี่หนู เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียนหรือท้องเสีย ซึ่งมีความคล้ายกับโรคไข้หวัด หรือโรคไข้เลือดออก ทำให้อาจวินิจฉัยและให้การรักษาได้ล่าช้ากว่าที่ควร หรืออาจเป็นผู้ป่วยที่มีอาการของโรคฉี่หนูรุนแรง โดยมีจุดสังเกตสำคัญจากอาการตัวเหลืองตาเหลือง ไข้สูงไม่ลด ไตวาย และอาจเกิดอาการแทรกซ้อนที่อวัยวะสำคัญต่างๆ ทั้งนี้ อาการของโรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) หรือโรคฉี่หนู และอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นมีดังนี้ - ไข้เฉียบพลัน - ปวดศีรษะ - ปวดเมื่อย/ปวดน่อง - ปวดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง - คลื่นไส้อาเจียน - อาการตัวเหลืองตาเหลือง หรือดีซ่าน - ผื่นที่เพดานปาก มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง - ปอดบวม - ตับและไตวาย - กล้ามเนื้ออักเสบ - ไอเป็นเลือด - เยื่อหุ้มสมอง และไขสันหลังอักเสบ - กล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ - หัวใจล้มเหลว 5. วิธีรักษาโรคฉี่หนูทำได้อย่างไรบ้าง? การรักษาผู้ป่วยโรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) หรือโรคฉี่หนู จะเน้นการให้ยาปฏิชีวนะ ร่วมกับการรักษาตามอาการและภาวะแทรกซ้อนตามความเหมาะสม เนื่องจากโรคฉี่หนูจะสามารถหายได้เอง แต่หากมีอาการของโรค หรืออาการแทรกซ้อนรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาทำการฉีดยาปฏิชีวนะเข้าสู่เส้นเลือดโดยตรง และอาจต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจเกิดภาวะอวัยวะล้มเหลวเฉียบพลันได้ ทั้งนี้ สามารถแบ่งรูปแบบของการรักษาผู้ป่วยในแต่ละกลุ่มด้วยยาปฏิชีวนะ ดังนี้ - ผู้ที่มีอาการรุนแรง ควรให้ยา Penicillin, Tetracycline, Streptomycin หรือ Erythromycin - ผู้ที่มีอาการปานกลาง ควรให้ยา Doxycycline จำนวน 100 mg. วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน หรือ Amoxicillin จำนวน 500 mg. วันละ 4 ครั้ง 5-7 วัน - ผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนไม่ร้ายแรง ควรให้ยาตามอาการ เช่น ยาลดไข้, ยาแก้ปวด, ยากันชัก,ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน รวมถึงการให้สารน้ำ เกลือแร่ หรือเกร็ดเลือด การตรวจวินิจฉัยโรคฉี่หนูได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วจะช่วยให้แพทย์สามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ลดโอกาสเสี่ยงเสียชีวิต เลือก “ประกันสุขภาพคุ้มค่า” หรือ “ประกันสุขภาพเอกซ์ตรา” ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย จ่ายค่ารักษาตามจริง เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่จำกัดจำนวนครั้งให้วุ่นวาย ด้วยวงเงินสูงสุด 500,000 บาท เพียง 5,000 บาท/ปี คลิก https://www.smk.co.th/prehealth ขอบคุณข้อมูลจาก - สํานักงานสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข (https://www.moph.go.th/) - สถานเสาวภา สภากาชาดไทย (https://www.saovabha.com/) - สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส (Thai PBS) (https://www.thaipbs.or.th/) | |
ผู้ตั้งกระทู้ Achie :: วันที่ลงประกาศ 2021-10-11 13:47:41 IP : 49.49.240.99 |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |