ReadyPlanet.com


วิธีป้องกันแผลร้อนในในปาก


ลูกเป็นแผลร้อนในบ่อย ทำอย่างไร

เมื่อลูกน้อยร้องโยเย ไม่ค่อยอยากกินอาหาร ไม่อยากอ้าปาก นั้นอาจเกิดแผลร้อนใน   อาการร้อนในมีหลากหลายอาการ เช่น
แผลร้อนใน หรือเจ็บคอ หรือต่อมทอลซินอักเสบ หรือเป็นไข้ หรือหลายๆอาการรวมกัน
แผลร้อนใน หรืออาการร้อนในในเด็กนั้น เกิดจากพื้นฐานร่างกายของเด็ก และเมื่อมีปัจจัยในเรื่องอาหารการกินมาผนวกเข้าไป
ก็ทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้

อาหารเหล่านั้นได้แก่อะไรบ้าง

ถ้าเป็นเด็กเล็ก อาหารหลักก็คือ นม     นมชงนั้นมีผู้ผลิตหลากหลายเจ้า ซึ่งแต่ละเจ้าก็มีสูตรแตกต่างกันไป บางเจ้าก็มีสูตรผสมสารอาหารตัวนั้นตัวนี้   เจ้าสารอาหารนี่แหละ บางตัวก็ทำให้เกิดอาการร้อนใน

ถ้าเป็นเด็กที่เริ่มกินอาหารได้แล้ว ก็ต้องระมัดระวังอาหารที่ให้มากขึ้น เช่น ขนมขบเคี้ยว ของทอด ผลไม้บางชนิด หรือแม้แต่ นมชง
ที่เพิ่มให้ พออายุของลูกมากขึ้นก็มีการเปลี่ยนสูตรนม หรือเพิ่มชนิดของนมให้ดื่ม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกน้อยเกิดแผลร้อนใน

วิธีรักษา

ให้สังเกตอาหารการกิน ไม่ว่าจะเป็นนมชง หรืออาหารเสริม
ควรกวาดปากเด็กเป็นระยะ สำหรับเด็กเล็ก
 

วิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนใน

ร้อนในหรือแผลในปาก เชื่อว่าทุกคนคงเคยเป็นกัน เวลาเป็นแล้วจะเจ็บและรับประทานอะไรก็ลำบาก

วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนในมาฝากกัน..

1. ระวังอย่าให้ท้องผูก เพราะร้อนในมักจะเป็นร่วมกับท้องผูก

2. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ร้อนใน เช่น ของทอด ของมันๆ ขนม น้ำตาล ทุเรียน ลำไย ข้าวเหนียวมะม่วง ฯลฯ อาหารพวกนี้กินแต่เพียงน้อยๆ อย่ากินมาก

3. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น กระเทียม หอม ขิง ฯลฯ แต่พริกกินได้

4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยลดอารมณ์เครียด ความเครียดส่วนมากทำให้เป็นโรคนี้

5. รักษาความสะอาดในช่องปากอย่างเข้มงวด คือ แปรงฟันทุกครั้งหลังจากรับประทานอาหารแล้ว(ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ไหมขัดฟันทุกครั้งหลังอาหาร)

6. ดื่มน้ำมากๆ วันหนึ่ง ๆ ให้ได้ 10 แก้วขึ้นไป

7. อย่าอดนอน

8. กินผักและผลไม้มากๆ

ยารักษาร้อนใน ยาแก้ไข้ ตรา เอ
เลขทะเบียนยาที่ G 611/48
สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ร้อนใน เช่น แผลร้อนใน เจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ ลิ้นแตก เหงือกบวม ตกหมอน
ครั่นเนื้อตัว กระทั่งเป็นไข้ แก้อาการหวัดแบบร้อนใน รวมถึง ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ
(เพราะถ้าร่างกายไม่ร้อนใน ก็ทำให้มีภูมิต้านทาน สามารถกำจัดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้)

ถ้าไม่เป็นไข้ แต่มีอาการร้อนในดังกล่าว ก็รับประทานได

 

แผลร้อนใน Aphthous ulcer แซชือ

     แผลร้อนในนั้นต่างกับแผลเริมที่ปาก โดยแผลเริมเกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex virus 1 (HSV-1)
(รักษาแผลเริมได้ด้วยการใช้ใบพญายอเพสลาด หมายถึง ใบที่ไม่อ่อนหรือไม่แก่ มาคั้นน้ำแล้วทาแผลเริมวันละ 4-5 ครั้ง)

     ส่วนแผลร้อนในนั้นเกิดจากภาวะการพร่อง(ซึ่งจะกล่าวต่อไป) โดยแผลร้อนในเป็นแผลที่พบมากบริเวณริมฝีปากด้านใน หรือกระพุ้งแก้ม หรือเหงือก บางรายเกิดแผลร้อนในที่ลิ้น   แผลร้อนในจะเริ่มจากตุ่มเล็กๆ แล้วกลายเป็นวงและมีขนาด
ใหญ่ขึ้น ตรงกลางจะมีเยื่อสีขาวบางๆ ขอบจะบวมแดง และมีอาการปวด มีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งนิ้ว บางรายเกิดขึ้นตำแหน่งเดียว บางรายเกิดหลายตำแหน่งพร้อมๆกัน บางรายแผลเก่ายังไม่ทันหายแผลใหม่ก็มาเกิด จะเจ็บมาก
เมื่ออาหารหรือลิ้นไปโดนถูก

     คนจีนแต้จิ๋ว เรียกว่า "แซชือ" แต่ถ้ามีการปูดเป็นก้อนที่ด้านข้างของเหงือก เรียก "ผู่คีเปา" หรือบางครั้งตุ่มเล็กจะ
ไม่กลายเป็นแผลร้อนในแบบเปิด แต่จะปูดเป็นตุ่มใหญ่ขึ้นมาบริเวณใต้ริมฝีปากด้านใน หรือใต้ลิ้น ทำให้ตกใจ
ผู้ที่ไม่รู้ว่าเกิดจากร้อนใน ก็จะไปพบแพทย์เพื่อผ่าตัดออก

สาเหตุของแผลร้อนใน     จริงๆแล้ว แผลร้อนใน ไม่ได้เกิดจากเชื้อใดๆ แต่แผลร้อนในหรืออาการร้อนในเกิดจากคนที่มี
ภาวะอิน(ยิน,หยิน)พร่อง แล้วมีพฤติกรรมที่ทำให้หยางแกร่ง เช่น รับประทานอาหารเผ็ด ของทอด-อบ-กรอบ ผลไม้บางชนิด
จึงเกิดความไม่สมดุลระหว่างอิน-หยาง ทำให้แสดงออกมาเป็นอาการร้อนใน  เมื่อร่วมกับการนอนดึก หรืออดนอน
ก็จะเกิดแผลร้อนใน บางรายอาจมีอาการร้อนในอื่นๆ เช่น เจ็บคอ ลิ้นแตก เหงือกบวม เป็นไข้ ร่วมด้วย หรือหายจากเป็นไข้ แล้วมีแผลร้อนในขึ้นมา

      บางท่านอาจคิดว่า แผลร้อนใน เกิดจากการกัดถูกกระพุ้งแก้มหรือลิ้นของตัวเอง แต่ความจริงแล้วเกิดจากร้อนใน
เพราะเมื่อร้อนใน กระพุ้งแก้มก็หนาตัวขึ้นหรือลิ้นจะมีการพองตัวมากขึ้น จึงไปกัดถูก ถ้าหากว่าเป็นแผลที่ไม่ได้มีอาการ
ร้อนใน เพียงแค่ 1-2 วันก็จะหายเป็นปกติ แต่เมื่อร่างกายร้อนใน แผลนั้นก็ไม่ค่อยหาย แล้วยังขยายใหญ่ขึ้นเป็นแผลร้อนใน

     ร้อนในมีหลากหลายอาการแล้วแต่ว่าจะเกิดกับอวัยวะส่วนไหน เช่น เส้นที่คอตึง ตกหมอน มีขี้ตา ตาแฉะ ระคายเคืองตา
บางครั้งน้ำตาไหลเอง หรือมีเม็ดที่ตาคล้ายตากุ้งยิง มีเสมหะ ไอ เจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ(Tonsillitis) ปากเป็นแผลร้อนใน
เหงือกบวม ลิ้นแตก ในปากมีตุ่มปูด ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ท้องผูก อุจจาระแข็ง-ดำ (ระบบทางเดินอาหารไม่มีเลือดออก)
แต่บางครั้งก็ถ่ายเหลวและมีลม บางทีก็ร้อนในในหลายส่วนพร้อมกัน ทำให้มีหลายอาการพร้อมกัน

รวมถึงเป็นต้นเหตุของอาการไข้หวัด เพราะเมื่อร้อนใน ภูมิต้านทานก็ลดลง
อาการเหล่านี้แต่ละคนจะไว(Sensitive)ไม่เท่ากัน เนื่องจากดุลยธาตุ(อิน-หยาง)ของแต่ละคนไม่เท่ากัน

การรักษาอาการร้อนใน แผลร้อนใน

  • ห้ามรับประทานยาบำรุง เช่น เขากวางอ่อน โสมคน(หยิ่งเซียม)   ยาที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น พริกไทย ดีปลี อบเชย(ชินนามอน)
  • งดอาหารที่ทอดน้ำมัน อาหารรสเผ็ด อาหารหวานจัด หรือขนมบางอย่างเช่น คุ้กกี้ ขนมกรอบๆ หรือเบียร์บางยี่ห้อ
    ผลไม้บางชนิด เช่น ลำไย ทุเรียน เงาะ ขนุน ลิ้นจี่ ละมุด มะม่วงสุก รวมถึงข้าวเหนียว
    (แต่ละคนไวต่ออาหารไม่เหมือนกัน)
  • สำหรับเด็กที่ดื่มนมชง ให้สังเกตนมชงด้วย เพราะนมแต่ละยี่ห้อ มีสูตรที่ไม่เหมือนกัน บางสูตรทำให้ร้อนใน
  • นอนหลับให้เต็มที่ ดื่มน้ำให้มากขึ้นในกรณีที่ดื่มน้ำน้อย
  • รักษาอาการร้อนในหรือแผลร้อนใน โดยการรับประทานยาแก้ไข้ ตรา เอ ซึ่งแก้อาการร้อนในได้ดีมาก
    ถ้ารู้สึกว่าแผลร้อนในกำลังจะเกิดขึ้น หรือเริ่มมีอาการร้อนใน ให้รีบรับประทานยา จะทำให้แผลร้อนในไม่เกิดขึ้นมา หรืออาการร้อนในหายได้เร็ว
  • การรับประทานยาแก้ไข้ ตรา เอ รับประทานเมื่อมีอาการร้อนใน เมื่อหายร้อนในก็หยุดรับประทาน สลับกันไปเรื่อยๆ
    ในระยะยาว จะทำให้อาการร้อนในเป็นน้อยลงหรือไม่เป็นขึ้นมา เพราะในยาแก้ไข้ ตรา เอ มีตัวยาที่เสริมอิน ทำให้
    ร่างกายผู้ที่พร่องอินได้สมดุล

อาการหวัดแบบร้อนใน หมายถึง

     อาการหวัดที่เริ่มต้นด้วยการร้อนใน เช่น เจ็บคอ ครั่นเนื้อครั่นตัว เป็นไข้ ริมฝีปากแดง ลิ้นแดง
น้ำมูกไหล เป็นหวัด มีเสมหะ(เป็นสีเขียวก็ได้)

ตกหมอน

     เมื่อเกิดอาการตกหมอน ให้รับประทานยาแก้ไข้ ตรา เอ และ ยากษัยเส้น ตรา เอ โดยรับประทานชนิดใดก่อนก็ได้
อีกสักประมาณ 1 ชม. ก็รับประทานอีกชนิดตาม

คำแนะนำสำหรับการใช้ยาแก้ไข้ ตรา เอ

-งดอาหารที่ทำให้ร้อนในดังที่กล่าวมา
-ควรพักผ่อนให้เพียงพอและรับประทานยาแต่เนิ่นๆ จะรักษาอาการร้อนใน หรือ แผลร้อนใน ให้หายได้เร็ว
-ผู้ใหญ่อายุ 12 ปีขึ้นไป รับประทานครั้งละ 2-4 เม็ด ถ้าเป็นไข้หนัก สามารถรับประทานครั้งละ 4 เม็ด ทุกๆ 3 ชั่วโมง
ถ้ามีแผลร้อนในมาก หรือมีอาการร้อนในหนัก รับประทานครั้งละ 4 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ และใช้เวลา
รักษานานกว่าปกติ(สามารถรับประทานติดต่อกันได้ ไม่อันตราย)
-เด็กอายุ 4-11 ขวบ รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด ถ้ากลืนยาไม่ได้ให้นำเม็ดยามาบดผสมน้ำผึ้งน้ำมะนาวแล้วกลืนและดื่มน้ำตาม
วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้
-ยาแก้ไข้ ตรา เอ ไม่ทำให้ง่วงนอน และไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร(ไม่กัดกระเพาะอาหาร)

ยาเม็ดทุกตำรับ บรรจุในแผงอลูมิเนียมฟอยล์ (Strip pack)
 

ข้อดี คือ

  • ป้องกันความชื้นและเชื้อจุลินทรีย์เข้าสู่เม็ดยา
    โดยทั่วไปในบรรยากาศจะมีทั้งความชื้นและเชื้อจุลินทรีย์
    หากเป็นยาที่ใส่ขวด เมื่อเปิดขวดแล้ว ยาจะมีการปนเปื้อนของเชื้อ
    ความชื้นในบรรยากาศ ทำให้เชื้อจุลินทรีย์เจริญเติบโต
    ซึ่งเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดจะสร้างสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
  • พกพาสะดวก สำหรับผู้ที่ต้องเดินทาง
  • ป้องกันไม่ให้ยาเสื่อมคุณภาพจากแสงสว่าง

ยาเม็ดทุกตำรับ เป็นยาตอกเม็ด (Tablet)

ข้อดี คือ

  • ปราศจากวัตถุกันเสีย
    เนื่องจากยาที่บรรจุแคปซูล ส่วนของเปลือกแคปซูลทำมาจากเจลาติน
    ซึ่งเจลาตินก็ทำมาจากกระดูกหรือหนังสัตว์ จึงเป็นแหล่งอาหารของ
    เชื้อจุลินทรีย์   ดังนั้นผู้ผลิตเปลือกแคปซูลจำเป็นต้องใส่วัตถุกันเสีย และถ้าหากผู้ผลิตเปลือกแคปซูลใช้เจลาตินที่ไม่สะอาด ก็จะต้องใส่
    วัตถุกันเสียเกินมาตรฐาน ซึ่งเป็นอันตรายกับผู้บริโภค
  • ลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อบางชนิด
    เนื่องจากเจลาตินทำมาจากกระดูกหรือหนังสัตว์ เช่น วัว หมู
    จึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อบางชนิด เช่น เชื้อวัวบ้า และขัดกับหลักของผู้ที่รับประทานเจ หรือมังสวิรัติ


ผู้ตั้งกระทู้ ป้องกันร้อนในปาก :: วันที่ลงประกาศ 2010-10-27 16:12:21 IP : 124.122.14.39


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3257063)

 

 

 

 

สมุนไพร รสฝาด : แก้ท้องร่วง ร้อนใน

สมุนไพร ที่มีรสฝาด แก้ปัญหา สุขภาพ อาทิ โรคท้องร่วง ร้อนใน ได้ ซึ่ง สมุนไพร แก้ปัญหา สุขภาพ ดังกล่าว อาทิ ฝรั่ง แค ทับทิม เป็นต้น อ่าน บทความ สมุนไพร แก้ปัญหา สุขภาพ เกี่ยวกับ โรคท้องร่วง ร้อนใน ที่นี่

            จากที่กล่าวถึงหลักยา 9+1 รส สำหรับใช้ในการส่งเสริมและดูแลสุขภาพตามแบบแพทย์แผนไทยไปแล้ว ก็จะนำเสนอมุ่งเน้นสรรพคุณของรสชาติแต่ละรสในการรักษาโรคต่างๆ

            ตามหลักการแพทย์แผนไทย

          ยารสฝาด มีสารสำคัญคือ แทนนิน เป็นกรดอ่อนๆ มักพบในเปลือกต้นหรือแก่นของพืชเป็นส่วนใหญ่ เป็นรสยาที่นำไปใช้แก้ในทางสมานแผล แก้ท้องร่วง แก้บิด ช่วยฆ่าเชื้อโรค ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย บำรุงธาตุ แก้ร้อนใน เคลือบแผลในกระเพาะอาหาร เมื่อร่างกายเจ็บป่วยเราสามารถนำสมุนไพร หรืออาหารที่มีรสชาติฝาดมาใช้ในการรักษาหรือดูแลสุขภาพเราได้

         ในทางตรงข้าม ถ้าร่างกายเราไม่มีโรคและอาการเหล่านี้ปรากฏ หากเราบริโภคอาหารหรือสมุนไพรรสฝาดมากเกินควรก็จะก่อให้เกิดการแสลงหรือเกิดผลตรงข้าม คือ แทนนินมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร จะทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องผูกเป็นพรรดึก เกิดโรคลม ทำให้กระหายน้ำ

          สมุนไพรและพืชผักที่มีรสฝาดมีอยู่หลายชนิด เช่น ใบชา การแฟ ข้าวโพด ถั่ว เปลือกเงาะ เปลือกมังคุด เปลือกและเมล็ดองุ่น เปลือกทับทิม ดอกและเปลือกแค ฝรั่ง มะกอกไทย หัวปลี หยวกกล้วย กล้วยน้ำว้า ลูกฉิ่ง ผักเม็ก และผักกระโดน มะตูม มะขามป้อม ลูกหว้า เป็นต้น

          ในการบริโภคนั้นเราสามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบของสด ลวก นึ่ง แปรรูปเป็นอาหารตำรับต่างๆ หรือเครื่องดื่มน้ำสมุนไพรก็ล้วนแล้วแต่ก่อเกิดประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างของพืชผักสมุนไพรที่มีสรรพคุณนำมาใช้ในการรักษาโรค

          แค ใช้เปลือกแคชั้นในที่มีสีน้ำตาลอ่อนอ่อนๆ ใช้เคี้ยว 3-5 นาทีแล้วคายทิ้ง วันละ 2 ครั้ง ไม่เกิน 3 วันจะหายจากอาการร้อนใน ปากเป็นแผล ส่วนดอกนิยมนำไปแกงส้มแก้ไข้หัวลม

          ทับทิม ใช้ส่วนเปลือก ต้มกับน้ำดื่ม แก้อาการบิดที่มีอาการปวดเบ่ง มีมูกและเลือดติด แต่ถ้าอาการหนักกว่านี้และถ่ายบ่อยครั้งก็ต้องรีบไปหาหมอทันที

          ฝรั่ง ใช้ผลอ่อนหรือใบ ต้มกับน้ำดื่ม ในกรณีท้องเสีย ท้องเดิน ท้องร่วง ยกเว้นอาการที่เกิดจากเชื้อบิดหรืออหิวาตกโรค ไม่สามารถรักษาได้

          รับประทานสด ใช้ส่วนที่เป็นยอดอ่อนๆ 7 ยอด หรือใบเพสลาด 6-8 ใบ ค่อยๆ เคี้ยวให้ละเอียดทีละน้อย ค่อยๆ กลืน แล้วดื่มน้ำตาม ถ้าเคี้ยวทีละมากๆ จะรู้สึกฝาดขม ถ้าเคี้ยวกับเกลือเล็กน้อยจะช่วยให้รับประทานง่ายขึ้น วิธีนี้ได้ผลมากเพราะรับประทานทั้งน้ำและเนื้อของใบฝรั่งจนหมด ได้ตัวยาครบถ้วน หรืออาจรับประทานผลดิบ ครั้งละ 1-2 ผล โดยเคี้ยวก่อนค่อยกลืนก็ได้

          ต้มดื่ม ใช้ใบเพสลาด 5-10 ใบ หรือเปลือกต้นสดๆ 1 ฝ่ามือ ใส่น้ำ 2 ถ้วยแก้ว ต้มเดือดนาน 5-30 นาที เคี่ยวให้เหลือ 1 ถ้วยแก้ว รับประทานครั้งละ ฝ - 1 แก้ว วันละ 2 ครั้ง รับประทานตามอาการหนักเบา เวลาดื่มเติมเกลือเล็กน้อยทำให้ดื่มง่ายขึ้น

          ชงน้ำร้อนดื่ม เอายอดฝรั่ง 7 ยอด หรือใบฝรั่ง 6-10 ใบ ชงกับน้ำเดือด 2 แก้ว ปิดฝาไว้ 15-20 นาที ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ดื่มบ่อย ๆ

          ต้มคั้นเอาน้ำ เอาใบฝรั่ง 6-10 ใบ ตำให้ละเอียด ผสมน้ำสุก 3-5 ช้อนแกง ต้มให้เข้ากัน กรองด้วยผ้าขาว เอาน้ำผสมเกลือเล็กน้อยดื่มจนหมด

          บดผงรับประทาน ใช้ผลฝรั่งที่เกือบแก่ หั่นเป็นแว่นบาง ๆ ตากแห้งบดเป็นผง รับประทานครั้งละ ฝ-1ช้อนชา โดยผสมน้ำ วิธีนี้รสชาติดีเด็กดื่มได้ง่าย

          ข่อย ใช้เปลือกต้นต้มน้ำดื่มแก้ท้องร่วง

          ฝาง ใช้แก่นต้มน้ำแบบเคี่ยว ใช้แก้อาการท้องร่วง

          มะตูม ใช้ผลแห้งต้มน้ำดื่มแก้ร้อนในกระหายน้ำ ฆ่าเชื้อในลำไส้ บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุช่วยเจริญอาหาร

          มะเดื่ออุทุมพร เปลือกต้นใช้ต้มชะล้างแผล แก้ท้องร่วง

          มังคุด นับเป็นยาดีของไทยที่รู้จักการใช้ประโยชน์มาเนิ่นนาน ใช้เปลือกผลแห้งรักษาโรคท้องเสียเรื้อรัง และโรคลำไส้ ยาแก้ท้องร่วง ท้องเดินยาแก้บิด (ปวดเบ่งและมีมูก และอาจมีเลือดด้วย) เป็นยาคุมธาตุ เป็นยารักษาน้ำกัดเท้า รักษาบาดแผล วิธีการใช้รักษาโรค ดังนี้

          1. รักษาโรคท้องเสียเรื้อรัง และโรคลำไส้ใช้เปลือกมังคุดครึ่งผล (ประมาณ 4-5 กรัม) ต้มกับน้ำ ความแรง 1 ใน 10 รับประทานครั้งละ 1 ถ้วยแก้ว ถ้าเป็นยาดองเหล้า ความแรง 1 ใน 10 รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา

          2. ยาแก้อาการท้องเดิน ท้องร่วง ใช้เปลือกผลมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำปูนใส หรือฝนกับน้ำรับประทาน ใช้เปลือกต้มน้ำให้เด็กรับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา ทุก 4 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ทุก 4 ชั่วโมง

          3. ยาแก้บิด (ปวดเบ่งและมีมูกและอาจมีเลือดด้วย) ใช้เปลือกผลแห้งประมาณ ฝ ผล (4 กรัม) ย่างไฟให้เกรียม ฝนกับน้ำปูนใสประมาณครึ่งแก้ว หรือบดเป็นผง ละลายน้ำสุก รับประทานทุก 2 ชั่วโมง

          กล้วยน้ำว้า ต้องเป็นกล้วยดิบมีฤทธิ์ฝาดสมานรักษาอาการท้องเดิน มีสารที่สามารถป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารช่วยให้แผลปิดสนิท ใช้กล้วยดิบหั่นเป็นแว่นตากให้แห้ง แล้วนำไปบดเป็นผง รักษาอาการท้องเสียที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ใช้ป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ส่วนกล้วยสุกมีสรรพคุณเป็นยาระบาย

          พืชผักสมุนไพร ผลไม้ที่ยกตัวอย่างข้างต้นนั้น ล้วนแล้วเป็นที่รู้จักในการบริโภคและการใช้ประโยชน์ หากศึกษาและเรียนรู้ประโยชน์ของสิ่งเหล่านี้ไว้ ยามถึงเวลาจำเป็นที่ต้องนำไปใช้ประโยชน์แก่ตนเอง ครอบครัว ชุมชน ก็จะมีทั้งทักษะและความรู้ เป็นอีกเส้นทางหนึ่งในการส่งเสริมสุขภาพก่อนเจ็บป่วย หรือรู้วิธีการดูแลรักษาตนเองแบบง่ายๆ ด้วยพืชผักอาหารสมุนไพรราคาไม่แพงและประหยัดสตางค์ในกระเป๋า

ผู้แสดงความคิดเห็น ท้องร่วง ร้อนในแก้ได้ วันที่ตอบ 2010-10-28 14:43:58 IP : 124.121.76.173


ความคิดเห็นที่ 2 (3257239)

แผลร้อนใน อาการเจ็บปาก ปากเปื่อยเป็นแผล เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด ก็คือ แผล แอฟทัส (Aphthous Ulcer) หรือเรียกตามภาษาชาวบ้านว่า “แผลร้อนใน” นั่นเอง แผลแอฟทัสหรือแผลร้อนในเป็นโรคที่เกิดกับคนเราเกือบทุกคน พบมากในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โรคนี้เป็นเฉพาะตัว ไม่ติดต่อแพร่กระจายโรคให้ผู้อื่น
แทบทุกคนคงเคย มีประสบการณ์การ เป็นแผลในปากมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย และคงจำรสชาติของความเจ็บแสบได้ดี ยิ่งพวกเราคนไทยชอบกินอาหารรสจัดแบบไทยๆ ถ้าเจอน้ำพริกตอนเป็นแผลในปาก อาจถึงกับน้ำตาร่วงคาชามข้าวเลยทีเดียว แผลแอฟทัสจัดว่าเป็นโรคที่ไม่มีอันตรายแต่ประการใด เพียงแต่ทำให้เจ็บปวดน่ารำคาญในระยะ 2-3 วันแรก และจะหายเองได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ นานที่สุดไม่เกิน 3 สัปดาห์ แผลร้อนในเป็นสัญญาณเตือนว่าระบบภูมิต้านทานของร่างกายกำลังแปรปรวน เนื่องจากมีความเครียดทางร่างกายหรือจิตใจ สมควรจะได้พักผ่อนและคลายเครียดได้แล้ว

สาเหตุ
สาเหตุที่แท้จริง ยังไม่ทราบแน่ ชัด เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานของร่างกาย เกิดการสร้างภูมิต้านทานเฉพาะต่อเนื้อเยื่อภายในช่องปากของตัวเอง

สิ่ง กระตุ้นที่ทำให้แผลแอฟทัสกำเริบมีอยู่หลายประการ เช่น ร่างกายพักผ่อนไม่พอ อดนอน ทำงานคร่ำเคร่งหรือหักโหมเกิดจากความเครียดทางจิตใจ อาหารไม่ย่อย ท้องผูกขณะมีประจำเดือน ขณะเป็นไข้ตัวร้อน

บางรายเกิดจากการติดเชื้อ ในช่องปาก มีการระคายเคืองภายในช่องปาก เช่น สารบางชนิดในยาสีฟันหรืออาหาร เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อในช่องปาก เกิดแผลเปื่อยพุขึ้นมาได้เป็นครั้งคราว

แผลในปากมีหลายประเภทซึ่ง เกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ แผลแอฟทัส หรือที่เรียกกันอย่างภาษาชาวบ้านว่าแผลร้อนใน

ภาควิชาเวชศาสตร์ช่อง ปาก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เคยศึกษาในผู้ป่วยที่มารับการรักษาที่คณะทันตแพทยศาสตร์ พบว่าเป็นแผลร้อนในร้อยละ 46.7 ของผู้ป่วย ส่วนใหญ่ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย และยังพบอีกว่า การเกิดแผลร้อนในมีความสัมพันธ์กับอาชีพและระดับความวิตกกังวล

มีการ ศึกษาที่ยืนยันว่า แผลร้อนในน่าจะเกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานของร่างกาย การระคายเคืองภายในช่องปาก การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ และการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน

อาการ
คนที่เป็นแผลแอฟทัสจะรู้สึก เจ็บในปาก เมื่อตรวจดูจะพบมีแผลตื้นๆ ขอบแผลแดง ตรงกลางแผลเป็นสีขาวปนเหลือง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3-5 มิลลิเมตร บางครั้งอาจมีขนาด 7-15 มิลลิเมตร ขึ้นที่เยื่อบุในช่องปาก ตำแหน่งที่พบบ่อยได้แก่ ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม บนลิ้น ใต้ลิ้น ส่วนน้อยอาจพบได้ที่เพดานปาก เหงือก หรือต่อมทอนซิล แผลอาจมีเพียงแห่งเดียวหรือ 2-3 แห่งก็ได้

ในระยะ 2-3 วันแรกจะรู้สึกปวดมากจนบางครั้งหรือพูดลำบาก โดยเฉพาะถ้าขึ้นตรงโคนลิ้น หรือหลังต่อมทอนซิล ซึ่งอาจจะมองไม่เห็นจากภายนอก ยิ่งถ้ากินถูกของเผ็ดหรือเปรี้ยวจัดจะรู้สึกปวดแสบทรมานมากขึ้น ต่อมาอีก 5-7 วัน จะพบว่า มีเยื่อเหลืองๆปกคลุมที่ผิวของแผลแล้วจะค่อยทุเลาปวดและหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยจะไม่เป็นแผลเป็น ยกเว้นถ้าเป็นแผลขนาดใหญ่และลึกอาจมีรอยแผลเป็นได้

ส่วนมากจะไม่มี อาการผิดปกติ อื่นๆ ยกเว้นในรายที่เป็นรุนแรง อาจมีอาการไข้ อ่อนเพลีย ร่วมด้วย แผลแอฟทัสอาจกำเริบซ้ำได้เป็นครั้งคราวเมื่อร่างกายอ่อนแอหรือมีความเครียด บางคนอาจเป็นเพียงปีละ 1-2 ครั้ง แต่บางคนอาจเป็นเดือนละครั้ง หรือ 2-3 เดือนครั้ง

แผลร้อนในมักพบเป็นๆ หายๆ อยู่บนเยื่อเมือกในช่องปากบริเวณริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้น หรือใต้ลิ้น ลักษณะของแผลเริ่มแรกจะเป็นจุดสีขาวๆ เมื่อนูนขึ้นจะกลายเป็นสีแดง ต่อมาเยื่อเมือกบริเวณนี้จะกลายเป็นสีขาวปนเหลืองปกคลุมแผล ขอบแผลจะแดงและเจ็บปวดมาก บางคนเป็นมากถึงกับเป็นไข้ มีต่อมน้ำเหลืองใต้คางโต หรือมีอาการปวดฟันร่วมด้วย

ระยะที่แผล อักเสบ ผู้ป่วยจะกินอาหารลำบาก จะพูดก็ลำบาก เพราะเมื่อมีอะไรไปโดนแผลจะเจ็บปวดมาก ปกติแผลร้อนในจะมีขนาดไม่เกิน 5 มิลลิเมตร อาจเป็นแผลเดี่ยวๆ หรือหลายแผลกระจายอยู่บนเยื่อบุช่องปาก ถ้าขนาดเล็กมักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าแผลใหญ่มากเกิน 10 มิลลิเมตร จะเจ็บปวดมาก บางครั้งเป็นอยู่นานเป็นเดือนก็มี

การวินิจ ฉัย
แพทย์จะวินิจฉัย โดยการซักถาม อาการและตรวจดูลักษณะของแผลในช่องปาก ถ้าเป็นแผลแอฟทัสจะให้การดูแลรักษาดังกล่าวข้างต้น อาจให้อมและกลั้วน้ำยาผสมยายาปฏิชีวนะเตตราซัยคลีน วันละ 3-4 ครั้ง ในรายที่เป็นแผลขนาดใหญ่และเจ็บปวดรุนแรง แพทย์อาจให้กินยาสตีรอยด์-เพร็ดนิโซโลน เพื่อบรรเทาอาการอักเสบประมาณ 5-7 วัน ยานี้อาจมีผลข้างเคียงมากมาย ควรให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาสั่งให้เท่านั้น

ใน รายที่เป็นแผลเรื้อรังนานเกิน 3 สัปดาห์ ซึ่งอาจมีสาเหตุร้ายแรง อาจต้องตัดเอาชิ้นเนื้อตรงบริเวณแผลไปพิสูจน์ ถ้าเป็นมะเร็งอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดหรือฉายรังสี

การวินิจฉัยแยก โรค
โรคนี้ เป็นสิ่งที่สามารถวินิจฉัยได้ง่าย แต่อย่างไรก็ตาม อาการปากเปื่อยเป็นแผลยังอาจมีสาเหตุอื่นๆ เช่นแผลที่เกิดจากการบาดเจ็บ เช่น ถูกแปรงสีฟันครูดหรือกระแทก ถูกฟันกัด ถูกฟันปลอมเสียดสี มักมีแผลเกิดขึ้น 1-2 แผลที่ริมฝีปาก ลิ้นหรือเหงือก หายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ ควรบ้วนปากด้วยน้ำเกลือวันละ 2-3 ครั้ง และกินยาแก้ปวดถ้ารู้สึกปวด

แผล เริมขึ้นที่ปาก ในผู้ใหญ่จะขึ้นเป็นตุ่มน้ำใสๆ ขึ้นเป็นกระจุกเดียวตรงริมฝีปาก แล้วแตกเป็นแผลตื้นๆ เจ็บเล็กน้อย ซึ่งจะหายได้เองภายใน 7-10 วัน อาจกำเริบซ้ำเมื่อร่างกายอ่อนแอ หรือมีความเครียด หรือเวลาเป็นไข้หวัด ถูกแดด หรือขณะมีประจำเดือนแบบเดียวกับแผลแอฟทัส ต่างกันตรงที่เริมจะขึ้นตรงริมฝีปากภายนอก และเห็นเป็นตุ่มน้ำใสๆ ก่อนที่จะแตกเป็นแผล มีอาการเจ็บไม่มากเท่ากับแผลแอฟทัส และมักจะเป็นซ้ำๆ อยู่ตำแหน่งเดิม

ในเด็กเล็ก แผลเริมมักจะขึ้นในช่องปากทำให้มีแผลเปื่อยขึ้นทั่วปาก ไม่ใช่ขึ้นเป็นเฉพาะแห่งแบบแผลแอฟทัส นอกจากนี้จะมีอาการเหงือกบวมแดง เด็กจะมีไข้ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใต้คางและข้างคอจะบวมและเจ็บ เด็กอาจเจ็บแผลจนกินข้าวหรือดื่มน้ำไม่ได้ ควรรักษาด้วยการดื่มน้ำมากๆ บ้วนปากด้วยน้ำเกลือบ่อยๆ ทาแผลด้วยกลีเซอรีนโบแรกซ์

แผลมะเร็งใน ช่องปาก พบมากในวัยกลางคนขึ้นไป โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่กินหมาก จุกยาฉุน สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าเพียวๆ ฟันเกหรือใส่ฟันปลอมที่ไม่กระชับ ทำให้เกิดแผลเรื้อรังที่ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้น เหงือก หรือเพดานปาก นานเป็นแรมเดือนแรมปี โดยมากจะไม่รู้สึกเจ็บปวด แผลจะโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นก้อน บางคนในระยะแรกอาจเริ่มด้วยฝ้าขาวๆ หนาๆ คลำดูรู้สึกสากๆ ไม่เจ็บ ซึ่งจะเป็นอยู่นานเป็นแรมปีก่อนจะกลายเป็นก้อนมะเร็ง

การ รักษา
แผลแอฟทัสหรือแผล ร้อนในเป็นโรค ที่ไม่มีอันตรายอะไร แม้ไม่ได้รักษาก็หายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ เป็นอาการสะท้อนถึงสภาพร่างกายและจิตใจที่เครียด ถ้ากำเริบบ่อยควรต้องหันมาสนใจดูแลสุขภาพของตนเองให้มากขึ้น

พักผ่อน ให้มากขึ้น และหาทางผ่อนคลายความเครียด

งดอาหารรสเผ็ดและเปรี้ยวจัด จนกว่าแผลจะหาย

ดื่มน้ำมากๆ บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ ผสมเกลือป่นประมาณครึ่งช้อนโต๊ะในน้ำอุ่น 1 แก้ว วันละ 2-3 ครั้ง

ถ้า ปวดมากหรือเป็นไข้ กินยาแก้ปวดลดไข้-พาราเซตามอล

ป้ายแผลด้วย กลีเซอรีนโบแรกซ์ หรือเจนเชียนไวโอเลต วันละ 2-3 ครั้ง

ถ้าแน่ใจว่า เป็นแอฟทัสหรือแผล ร้อนในในระยะ 2-3 วันแรก ให้ป้ายแผลด้วยครีมสตีรอยด์ที่ใช้ป้ายปากโดยเฉพาะ โดยทาบางๆตรงแผลวันละครั้งก่อนนอนจนกว่าจะทุเลา โดยมากหลังทายาเพียง 2-3 วัน จะรู้สึกสบายขึ้น การใช้ยาสตีรอยด์ทาเฉพาะที่ในรูปขี้ผึ้งทาแผล ช่วยลดอาการอักเสบและระคายเคือง ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ดี ในรายที่ผู้ป่วยมีแผลขนาดใหญ่และเจ็บปวดรุนแรงมาก แพทย์อาจให้กินยาพวกเพร็ดนิโซโลน ประมาณ 4-7 วัน

ถ้าแผลแอฟทัสกำเริบ บ่อย ควรพยายามออกกำลังกายให้มากขึ้น อย่าทำงานหักโหมเกินไป พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ แผลร้อนในดูจะเป็นของคู่ปากคนที่ชอบทำงานหนัก อดหลับอดนอน โดยเฉพาะพวกชาวเมืองมากกว่าชาวชนบท แนะนำให้อย่าเครียดกันมากนัก หาเวลาพักผ่อน ออกกำลังกาย ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ อย่าปล่อยให้ท้องผูก รู้จักปล่อยวาง และเดินสายกลา


ผู้แสดงความคิดเห็น แผลร้อนใน วันที่ตอบ 2010-10-29 18:44:55 IP : 124.122.63.193


ความคิดเห็นที่ 3 (3343401)

ตอนนี้เป็นร้อนในอยู่เจ็บทรมานมากๆๆเลย

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หงส์ วันที่ตอบ 2012-08-28 10:55:18 IP : 171.100.36.120


ความคิดเห็นที่ 4 (3343837)

 ผมเป็นแผลร้อนในมาตั้งแต่เกิดอันนี้แม่บอกนะ เป็นตลอดไม่เคยมีแผลร้อนในหมดไปจากปาก ลองยามาเยอะสุดขม หวานบ้าง เค็มบ้าง สงสัยเครียดมาตั้งแต่เด็ก 555 แต่ตอนนี้ ได้ยาที่ช่วยได้ดี แต่ต้องใช้วิธีอื่นควบคู่กัน คือ 1. ดื่มน้ำ 1 แก้วทุกชั่วโมง  2. ก่อนนอน หลังแปรงฟันบ้วนปากด้วยน้ำเกลือ 3. ยาสีฟันใช้แบบรสอ่อน ๆ ตอนนี้ผมใช้ sparkle หรืออาจเป็นผงขัดฟันสุภาภรณ์ มีขายใยบิ๊กซี  4. กินยาสมุนไพรแก้ไข้ตราเอ อันนี้ช่วยแก้แบบถาวร กินเช้ากลางวันเย็น ครั้งละ 1 เม็ด ก่อนนอน 2 เม็ด 5. อย่าเครียด หัวเราะมากก้อเครียดได้นะ เอากลาง ๆ 6. ห้ามกินของมัน ของเผ็ด หรือพวกเครื่ิองเทศที่มีรสจัด 7. งดของหวานจัด ผลไม้พวก ทุเรียน ลำใย เงาะ  เปรี้ยวจัดเช่น มะนาว สัปปะรด ส้ม   รับรองแค่นี้ คุณก้อจะห่างหายจากโรคนี้ครับ แต่จะทำให้เราอดกินของอร่อย ๆ ไปด้วย ดั้งนั้นบางครั้งก้อต้องยอมเป็น เพื่อของอร่อยใช่ไหมครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น tattoo วันที่ตอบ 2012-09-02 10:38:53 IP : 27.130.204.219


ความคิดเห็นที่ 5 (3348307)

ให้คำปรึกษาเรื่องส้วม ส้วมเต็มบ่อยๆ (ส้วมเต็มเร็ว) การกำจัดสิ่งอุดตันในท่อทุกประเภทราคาประหยัด รวดเร็ว "ไม่ต้องทุบ ไม่ต้องรื้อถอนตัวอาคาร"ให้บริการกำจัดสิ่งอุดตันทุกประเภท เพราะเรามีทีมงานที่มากด้วยประสบการณ์งานด้านนี้ครับ โทร 080-090-6140,  089-686-5904 "  ให้บริการแบบครบวงจร เราแก้ไขปัญหาท่อน้ำทิ้ง อุตตั้น ท่อน้ำทิ้งไหลช้า ส้วมตัน ปัญหาส้วม ส้วมเหม็น ส้วมกดไม่ลง ลาดไม่ลง มีบริการลอกท่อ ล้างบ่อบำบัด ตามโรงงาน บริษัท อพาร์ตเม้น คอนโดมิเนียม เราบริการทั่วประเทศ ทั่วทุกภาค "รวดเร็ว ประหยัด ซื่อสัตย์ บริการทั่ว กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล"  เราคือ sewerbkk       ขออภัยอย่างสูงหากข้อความนี้รบกวนท่าน
 
 

ผู้แสดงความคิดเห็น sewerbkk (mizu_pim-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2012-10-21 15:41:24 IP : 124.120.3.69


ความคิดเห็นที่ 6 (3385794)

 เป็นเหมือนกัน ค่ะ ร้อนในทั้งปาก ริมฝีปากแตกเยอะมาก ต้องทำอย่างไรบ้างค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น Tui (icetui-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2014-02-12 17:39:47 IP : 125.25.140.143


ความคิดเห็นที่ 7 (3386813)

 ***ยยยยย

ผู้แสดงความคิดเห็น kuu eang วันที่ตอบ 2014-03-03 15:47:08 IP : 171.4.29.165


ความคิดเห็นที่ 8 (3392665)

 ลูกอายุ 11 เดือน เป็นแผลในปากควรทำอย่างไรค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น พรทิพย์ (porntip252843-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2014-07-21 11:56:03 IP : 192.168.40.100


ความคิดเห็นที่ 9 (3397973)
ปวดปากร่างร้อนในไม่อยากเป็นโรคนี้ทอระมานมาก
ผู้แสดงความคิดเห็น pam วันที่ตอบ 2014-11-26 15:46:14 IP : 49.48.155.177



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.