ReadyPlanet.com


ไขหวัดใหญ่2009


กลิ่นควันของกระแสเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือ ไข้หวัดหมูในชื่อแรก ยังไม่จางหายไปจากกระแสความสนใจของคนทั่วโลก

เนื่องจาก เดิมทีการพบว่าเชื้อลุกลามในประเทศแถบทวีปอเมริกา ทั้งสหรัฐอเมริกา ประเทศเม็กซิโก ชิลี แคนาดา เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการระบาดไปทั่วโลก ทั้งระบาดเข้าสู่พื้นที่ยุโรปในช่วงเวลาไม่นานนัก ต่อมาเชื้อที่มีการกลายพันธุ์นี้ก็ทะยานระบาดเข้าสู่ทวีปเอเชีย โดยที่ญี่ปุ่นก็สั่งมาตรการปิดโรงเรียนหลายร้อยโรง เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อในคนหมู่มาก ส่วนในประเทศไทยเอง ทางกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค และโรงพยาบาลหลายแห่ง ก็มีการเฝ้าระวังอยู่โดยตลอด และถึงแม้ว่าจะมีเครื่องเทอร์โมสแกน คอยตรวจผู้โดยสารขาเข้าที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการวินิจฉัยแยกแยะระหว่างโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

ดังนั้น มาตรการการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคติดต่อ รวมทั้งการรักษาด้วยยาต้านจุลชีพที่มีประสิทธิภาพ จึงต้องทำควบคู่กันไปกับการวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการที่ให้ผลถูกต้อง รวดเร็ว แม่นยำ และประหยัด จึงเป็นที่มาของ “ชุดตรวจวินิจฉัยแยกแยะโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009” ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใช้ในโอกาสนี้โดยเฉพาะ

ชุดตรวจวินิจฉัยแยกแยะโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นี้ สามารถทำการตรวจวินิจฉัยตัวอย่างที่ส่งมาตรวจได้เป็นจำนวนมากในคราวเดียวหากมีการระบ
าดใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่เกือบทุกภูมิภาคของโลก โดยพบว่ามีสาเหตุจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด เอ (เอช 1 เอ็น 1) สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งไม่เคยพบที่ใดมาก่อน ด้วยเหตุนี้ ทำให้อัตราการเสียชีวิตสูงกว่าการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี หรือที่เรียกว่าไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ซึ่งมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด เอ สายพันธุ์ เอช 1 เอ็น 1, เอช 3 เอ็น 2 หรือ ชนิด บี

ชุดตรวจนี้ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้กับเครื่องไพโรซีเควนเซอร์ ที่สามารถหาลำดับเบสบนสายพันธุกรรมได้อย่างรวดเร็ว และสามารถตรวจตัวอย่างจำนวนมากได้ในคราวเดียว โดยได้ทำการออกแบบชุดตรวจเพื่อแยกแยะผู้ป่วยว่าติดเชื้อไข้หวัดนก เอช 5 เอ็น 1, ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เอช 1 เอ็น 1 และ เอช 3 เอ็น 2, หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ร่วมกับการตรวจหาความไว หรือการดื้อต่อยาต้านไวรัสอะแมนทาดีน (Amantadine) หรือโอเซลทามิ เวียร์ ( Oseltamivir ) ได้พร้อมกัน

ประสิทธิภาพของชุดตรวจนี้ ได้พัฒนาขึ้นเพื่อต้องการผลการตรวจภายใน 4 ชั่วโมงหลังได้รับตัวอย่าง โดยมีจุดเด่นอยู่ที่สามารถตรวจจับตำแหน่งเบสที่เปลี่ยนไปได้จำนวนมาก โดยสามารถตรวจวินิจฉัยตัวอย่างได้ไม่น้อยกว่า 192 ตัวอย่างใน 12 ชั่วโมง และนอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่ไม่มาก ทำให้คิดว่าการนำชุดตรวจวินิจฉัยแยกแยะโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นี้มาใช้ จะช่วยให้การตรวจสอบผู้ที่สงสัยว่าติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีความรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ สิ่งที่องค์การอนามัยโลกยังกังวลใจเป็นอย่างมากก็คือ การกลายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด เอ (เอช 1 เอ็น 1) สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งส่งผลให้เกิดการระบาดระลอกสอง และระลอกสามได้ในอนาคต เหมือนการระบาดของ สแปนิช ฟลู ในปี ค.ศ. 1918 ซึ่งการแพร่ระบาดระลอกสองและสามในครั้งนั้นได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 20 ล้านคนทั่วโลก และแม้ว่าขณะนี้ได้มีการเร่งผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด เอ (เอช 1 เอ็น 1) สายพันธุ์ใหม่ออกมาเพื่อใช้ป้องกันการติดเชื้อจากไวรัสดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่การรักษาผู้ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ให้มีอาการทุเลาลงอย่างรวดเร็วนั้นยังไม่เป็นผลนัก

ในประเทศสหรัฐอเมริกาเองก็มีการใช้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่กันอย่างแพร่หลาย และยาที่ใช้ก็มีอยู่ด้วยกันหลายสูตร หลาย ชนิด เนื่องจากว่ายาที่ใช้เมื่อเกิดการดื้อยา ก็มีความจำเป็นที่จะต้อง ปรับเปลี่ยนสูตรยา โดยตัวยาที่ใช้ในประเทศไทยบางชนิดก็มีการใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การใช้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ให้ผลดีจะต้องรับประทานภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังมีอาการ ซึ่งหากมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทั่วโลกรวม ทั้งประเทศไทย ก็จะส่งผลให้การตรวจเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ดื้อยาร่วมกับการตรวจหาสายพันธุ์ของไวรัส องค์การอนามัยโลกจึงได้ให้ความสำคัญต่อการตรวจวินิจฉัยแยกแยะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แ
ละเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ดื้อยาเป็นอย่างมาก ทั้งหมดนี้จึงเป็นส่วนสำคัญของการผลิตและพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยแยกแยะเชื้อไวรัส ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009.

ศ.ดร.วสันต์ จันทราทิตย์
หน่วยไวรัสวิทยา และจุลชีววิทยาโมเลกุล ภาควิชาพยาธิวิทยา
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล



ผู้ตั้งกระทู้ ไขหวัด2009 :: วันที่ลงประกาศ 2010-08-10 21:25:39 IP : 124.121.71.48


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3202073)

ฟลูมิส (FluMist) วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 #1
ข้อมูลวัคซีน
ฟลูมิส (FluMist) เป็นวัคซีนชนิดตัวเป็น ที่ให้โดยพ่นทางจมูก โดยระบุให้ใช้ในคนที่มีอายุระหว่าง 2 – 49 ปี เพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ผู้ที่ต้องระมัดระวังในการใช้วัคซีนฟลูมิส คือ คนที่เคยมีประวัติแพ้ไข่ โปรตีนจากไข่ เยนตามายซิน (gentamicin) เจลาติน (gelatin) หรือ อะจินิน (arginine) และรวมทั้งคนที่เคยมีประวัติแพ้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดอื่นมาก่อน นอกจากนี้ต้องระวังในการให้วัคซีนกับเด็กและผู้สูงอายุที่ได้รับยาแอสไพริน

ไม่สมควรให้วัคซีนฟลูมิส (FluMist) ในกลุ่มคนต่อไปนี้

  • เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี
  • ผู้ที่เป็นโรคหอบหืด
  • เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ที่เคยเป็นหอบหืด
  • คนที่ป่วยด้วยโรค Guillain-Barré syndrome
  • คนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • ผู้ที่เป็นโรคหัวใจเรื้อรัง
  • ผู้ที่มีปัญหาโรคไต
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
  • หญิงตั้งครรภ์
ผู้แสดงความคิดเห็น ไขหวัด2009 วันที่ตอบ 2010-08-10 21:27:11 IP : 124.121.71.48


ความคิดเห็นที่ 2 (3202078)

ไข้หวัดใหญ่ 2009 ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009
โรคไข้หวัดใหญ่ (อังกฤษ: Influenza) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในทุกคนทุกเพศทุกวัย พบได้เกือบทั้งปี แต่จะเป็นมากในช่วงฤดูฝน ซึ่งบางปีอาจจะพบการระบาด พบเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของอาการไข้ที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน แพทย์มักจะให้การวินิจฉัยผู้ใหญ่ที่มีอาการตัวร้อนมา 2-3 วัน โดยไม่มีอาการอย่างอื่นชัดเจนว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ซึ่งบางครั้งก็อาจพบการผิดพลาดได้

ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดต่างกันอย่างไร?
ไข้หวัดใหญ่พบมากทุกอายุ โดยเฉพาะในเด็กจะพบมากเป็นพิเศษ แต่อัตราการตายมักจะพบในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 65 ปีหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคไต เป็นต้น การฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่ป้องกันได้ผลมากที่สุด สามารถลดอัตราการติดเชื้อ ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล ลดโรคแทรกซ้อน และลดการหยุดงาน ไข้หวัดเป็นการติดเชื้อไวรัสทำให้เกิดอาการน้ำมูกไหลมีไข้ไม่สูง สำหรับไข้หวัดใหญ่เป็นการติดเชื้อจากไวรัส ที่เรียกว่า “Influenza virus” เป็นการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจซึ่งอาจจะลามลงไปปอด ผู้ป่วยจะมีอาการค่อนข้างเร็ว ไข้สูงกว่าไข้หวัด ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียอย่างฉับพลัน

ในปี ค.ศ. 2003 ได้มีการแนะนำเรื่องไข้หวัดใหญ่ดังนี้

1.ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีน คือ เดือนตุลาคม และ พฤศจิกายน (เนื่องจากเชื้อนี้มักจะระบาดในต่างประเทศ หากประเทศเราจะฉีดก็น่าจะเป็นช่วงเดียวกัน) โดยเน้นไปที่ประชาชนที่มีอายุ 50 ปี,เด็กอายุ 6-23 เดือน,คนที่อายุ 2-49 ปีที่มีโรคประจำตัวกลุ่มนี้ให้ฉีดในเดือนตุลาคม ส่วนกลุ่มอื่น เช่นเด็ก เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ผู้ดูแลคนป่วย กลุ่มนี้ให้ฉีดเดือนพฤศจิกายน
2.เ ด็กที่อายุ 6-23 เดือน ควรจะฉีดทุกรายโดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย
3.ชนิดของวัคซีนที่จะฉีดให้ใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของเชื้อ A/Moscow/10/99 (H3N2) -like, A/New Caledonia/20/99 (H1N1) -like, และ B/Hong Kong/330/2001
4.ให้ลดปริมาณสาร thimerosal ซึ่งเป็นสารปรอท

ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009

โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีชื่อเรียกในประเทศต่างๆ หลายชื่อ คือ ไข้หวัดเม็กซิโก, ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอชวัน เอ็นวัน 2009, ไข้หวัดใหญ่จากสุกร (Swine Influenza) เป็นต้น เป็นไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ ตามปกติมีการระบาดในหมูเท่านั้น สามารถพบได้ทั้งในหมูเลี้ยง และหมูป่า ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์ ทั้ง H1N1, H1N2 และ H3N2 แต่บางครั้งหมูอาจมีเชื้อไข้หวัดอยู่ในตัวมากกว่า 1 ชนิด ซึ่งอาจทำให้เกิดการผสมกันของยีนได้ ทำให้เกิดเป็นไวรัสชนิดใหม่ที่สามารถข้ามสายพันธุ์มาติดต่อยังมนุษย์ได้ เริ่มต้นจากการสัมผัสกับหมูที่เป็นโรค
สำหรับโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่เริ่มแพร่ระบาดในประเทศเม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา ก่อนจะแพร่ระบาดไปหลายๆ ประเทศทั่วโลกนั้น เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ สายพันธุ์ เอช 1 เอ็น 1 (H1N1) ซึ่งเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ของคน และไม่เคยพบมาก่อน เนื่องจากเป็นการผสมกันของสารพันธุกรรมไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์, ไข้หวัดนกที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ และไข้หวัดหมูที่พบในทวีปเอเชีย และยุโรป ทำให้องค์การอนามัยโลกต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 เนื่องจากหวั่นวิตกว่า เชื้อ H1N1 อาจจะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ที่อันตรายยิ่งขึ้น

ก่อนที่ไข้หวัดหมูดั้งเดิมจะกลายพันธุ์เป็นไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้น ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ดั้งเดิม พบมาตั้งแต่ ค. ศ.1918-1919 ในช่วงที่ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish Flu) ระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก จนมีผู้เสียชีวิตประมาณ 50 ล้านคน ส่วนใหญ่อายุ 20-40 ปี และตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป จากนั้นโรคไข้หวัดหมูได้แพร่ระบาดในช่วงต่างๆ ก่อให้เกิดโรคในคนอยู่มากกว่า 50 ราย โดยผู้ป่วย 61% มีประวัติสัมผัสหมู และมีอายุเฉลี่ย 24 ปี หลังจากนั้นใน ค.ศ.1974 ไข้หวัดหมูได้แพร่ระบาดในค่ายทหาร (Fort Dix) ที่รัฐนิวเจอร์ซี่ มีผู้ป่วย 13 ราย เสียชีวิต 1 ราย โดยที่อีก 230 ราย ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ หรือมีอาการแต่น้อยมาก ทั้งหมดนี้ไม่มีประวัติสัมผัสหมู ซึ่งแสดงว่าน่าจะมีการพัฒนาจนมีการติดต่อจากคนสู่คน

ต่อมาใน ค.ศ.1988 หญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งเสียชีวิตในรัฐวิสคอนซิน และมีประวัติสัมผัสหมู จึงเกิดการสงสัยว่าไข้หวัดหมูอาจไม่ใช่พันธุ์หมูล้วน (classic H1N1) จนกระทั่งปี ค.ศ.1998 จึงพิสูจน์พบว่า หมูที่เลี้ยงในประเทศสหรัฐอเมริกา มีไวรัสไข้หวัดหมูกลายพันธุ์ โดยมีพันธุกรรมผสมระหว่างหมู คน และนก เกิดสายพันธุ์ผสม (Triple assortant virus) H3N2, H1N2, และ H1N1 (วารสารโรคติดเชื้อ JID 2008) และสายพันธุ์ผสมนี้ยังพบได้ในเอเชีย และแคนาดา
จากนั้นในเดือนพฤศจิกายน 2008 ได้พบไข้หวัดหมูผสมสายพันธุ์ใหม่ (H1N1) ที่ประเทศสเปน จากหญิงอายุ 50 ปีที่ทำงานในฟาร์มหมู โดยมีอาการไข้ ไอ เหนื่อย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คันคอ คันตา และหนาวสั่น แต่อาการเหล่านี้หายไปได้เอง โดยไม่ต้องเข้ารับการรักษาใดๆ จึงไม่มีการคาดการณ์ว่า ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่จะเป็นอันตรายมากนัก

จนกระทั่งล่าสุด เกิดการแพร่ระบาดของไข้หวัดหมู หรือที่มีการบัญญัติชื่อใหม่ว่า ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ลามไปทั่วโลก และมีการยืนยันอย่างแน่ชัดว่า โรคนี้สามารถแพร่กันระหว่างคนสู่คน เนื่องจากเชื้อโรคได้วิวัฒนาการอย่างสมบูรณ์แล้ว

 การติดต่อโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009

เชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีการติดต่อเหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคนทั่วไป และเชื้อจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยระยะฟักเชื้อของไข้หวัดใหญ่ 2009 นั้นอยู่ที่ประมาณ 3-7 วัน หากผู้ป่วยได้รับเชื้อมากระยะฟักตัวก็จะเร็ว ซึ่งทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับตัวผู้ป่วยด้วยว่าสุขภาพร่างกายแข็งแรงมากน้อยแค่ ไหน

ทั้งนี้เชื้อโรคจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย และสามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นด้วยการไอ หรือจามรดกันในระยะใกล้ชิด รวมทั้งติดต่อกันทางลมหายใจ หากอยู่ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ และสามารถติดต่อได้จากมือ หรือสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ ทั้งนี้เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา ซึ่งสามารถแพ้เชื้อได้ ตั้งแต่ผู้ติดเชื้อยังไม่ปรากฎอาการ หรือหลังจากปรากฎอาการไข้แล้ว

ขณะที่นักวิชาการขององค์การอนามัยโลก ระบุไว้ว่า โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีอัตราการแพร่ระบาดมากกว่าโรคซาร์ส และไข้หวัดนก แต่อัตราการเสียชีวิตมีน้อยกว่า คืออยู่ที่ร้อยละ 5-7 ขณะที่โรคไข้หวัดนกมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 60
 

ผู้ป่วยควรจะพบแพทย์เมื่อไร

ผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ หรือมีประวัติสัมผัสกับผู้ที่ต้องสงสัยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 แล้วพบว่าตัวเองมีไข้สูง 38.5 องศา มีไข้นานเกิน 7 วัน เจ็บหน้าอก ปวดท้อง อาเจียน มีจุดเลือดตามตัว ตาเหลือง เจ็บคอมาก มีเสมหะสีเขียวๆ เหลืองๆ ผิวสีม่วง หรือได้พยายามรักษาตัวเองแล้ว แต่ยังไม่หาย ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย ด้วยวิธี PCR ซึ่งการตรวจด้วยวิธีนี้สามารถหาเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ได้ภายใน 24 ชั่วโมง และควรเข้ารับการตรวจรักษาภายในห้องตรวจพิเศษ Negative Pressure เพื่อป้องกันการกระจายของเชื้อไวรัสต่อไปยังผู้อื่น

การรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009

องค์การ อนามัยโลก ระบุว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ยังไม่สามารถป้องกัน และรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 นี้ได้ แต่จากผลการทดสอบในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ คือ

1. “โอเซลทามิเวียร์” (ชื่อทางการค้าว่า ทามิฟลู) เป็นยาที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่เด็กอ่อนถึงผู้ใหญ่ มีตัวยาทั้งที่เป็นเม็ดและเป็นน้ำ แต่มีผลข้างเคียง ที่พบบ่อยที่สุด คือ อาการคลื่นไส้ อาเจียน นอกจากนั้นในเด็กอาจมีอาการปวดท้อง เลือดกำเดาออก ปัญหาเรื่องหู และโรคตาแดง

2.”ซานามิเวียร์” (ชื่อทางการค้าว่า รีเลนซา) เป็นยาที่ใช้ได้เฉพาะในผู้ป่วยอายุมากกว่า 5 ปี และไม่แนะนำให้ใช้ในคนที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคหืด หรือผู้ป่วยในสถานพยาบาล และผู้ที่มีอาการแพ้สารแลคโตส ตัวยามีลักษณะเป็นเบบชนิดพ่นเท่านั้น ผลข้างเคียงของยานี้คือ เพิ่มความเสี่ยงของอาการหายใจลำบาก ในเด็กวัยเล็กและวัยรุ่น อาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากอาการชัก อาการสับสน ความประพฤติผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากไข้หวัดใหญ่ในระยะแรก

ทั้งนี้ ยาทั้งสองชนิด สามารถป้องกันเชื้อไวรัสไม่ให้แตกตัว  แต่ต้องรับยาภายใน 48 ชั่วโมง เพราะมีโอกาสที่เชื้อไวรัสจะกลายพันธุ์ได้อีกในอนาคต อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกกำลังเร่งผลิตวัคซีนเพื่อป้องกัน และรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 นี้อยู่ ซึ่งยังคงต้องใช้เวลา อย่างน้อย 5-6 เดือน เพื่อให้ได้วัคซีนที่ใช้รักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009

โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นไข้หวัดใหญ่ที่ติดต่อจากคนสู่คน ซึ่งวิธีการป้องกันการติดต่อของโรคได้ดีที่สุด คือ การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน หรือสถานที่แออัด และล้างมือบ่อยๆ รวมทั้งผู้ที่ป่วยเป็นหวัด ควรสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันโอกาสการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่จะเข้าไปผสมกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ประจำฤดูกาลในตัวผู้ป่วย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดเชื้อใหม่ที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ดื้อยาเพิ่มขึ้น และแพร่ระบาดจากคนสู่คนมากขึ้นต่อไป

นอกจากนี้หากใครที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และมีไข้สูง ให้รีบไปพบแพทย์โดยทันที เพื่อจะได้เฝ้าระวังและรักษาได้ทัน

วัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่

วัคซีนสำหรับรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ อาจไม่สามารถป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ได้ แต่ก็ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ที่จะเกิดขึ้นตามฤดูกาลได้ ซึ่งอาจจะช่วยป้องกันไม่ให้ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ผสมกับไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ จนกลายพันธุ์เป็นพันธุ์ที่รุนแรงมากกว่าเดิม

ทั้งนี้วัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นวัคซีนชนิดฉีด และเป็นวัคซีนเชื้อตาย จำนวน 3 สายพันธุ์ คือ ชนิดเอ 2 สายพันธุ์ และชนิดบี 1 สายพันธุ์ ทุกปีจะมีการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ขึ้นมาใหม่ โดยองค์กรอนามัยโลกจะคาดเดาว่า ในปีนั้นจะมีเชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใดระบาด และแยกผลิตเป็นสองสูตร สำหรับประเทศในซีกโลกเหนือ และประเทศในซีกโลกใต้

วัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่นี้ สามารถฉีดได้ในเด็ก ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ สำหรับเด็กที่อายุน้อยกว่า 9 ปี หากไม่เคยฉีดวัคซีนมาก่อนในปีแรก ให้ฉีด 2 เข็ม โดยห่างกัน 1 เดือน จากนั้นให้ฉีด 1 เข็ม ในแต่ละปี หากเป็นเด็กโตหรือผู้ใหญ่ ให้ฉีดวัคซีนปีละครั้ง

โดยทั่วไปการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันโรคได้ร้อยละ 60-90 หรือหากเป็นขึ้นมา อาการของโรคก็จะไม่รุนแรงนัก ทั้งนี้หลังจากฉีดวัคซีนแล้ว อาจมีอาการปวดบวมแดงเฉพาะที่ หรืออาจมีไข้หรือปวดเมื่อยตามตัว นาน 1-2 วัน

แม้ว่าโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะมีอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อไม่มากนัก และผู้ติดเชื้อในประเทศไทยจะได้รับการรักษาจนหายแล้วก็ตาม แต่อย่างไรเราก็ควรต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อสามารถเตรียมการป้องกัน และเฝ้าระวังได้อย่างถูกต้อง ซึ่งวิธีการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ดีที่สุด ก็คือการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และล้างมือบ่อยๆ เพื่อกำจัดเชื้อโรคออกไปนั่นเอง
อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009

เมื่อเชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 เข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัวประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนจะปรากฎอาการที่คล้ายกับผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่มีอาการรุนแรงกว่าและรวดเร็วกว่า นั่นคือ มีไข้สูงราว 38 องศาเซลเซียส ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตามข้อ ไอ มีน้ำมูก มีเสมหะ ปอดบวม เบื่่ออาหาร บางรายอาจท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน จากนั้นเชื้อจะแพร่เข้าสู่กระแสโลหิต จึงทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีการทรงตัวผิดปกติ เดินเอนไปเอนมาเหมือนคนเมาสุรา นอกจากนี้อาจสูญเสียการได้ยินจนถึงขั้นหูหนวกได้ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

 ระยะติดต่อ

ระยะติดต่อหมายถึงระยะเวลาที่เชื้อสามารถติดต่อไปยังผู้อื่น ระยะเวลาที่ติดต่อคนอื่นคือ 1 วันก่อนเกิดอาการ ห้าวันหลังจากมีอาการ ในเด็กอาจจะแพร่เชื้อ 6 วันก่อนมีอาการ และแพร่เชื้อได้ นาน 10 วัน

 โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ

ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคปอดอักเสบตามมา รวมถึงหัวใจวาย และอาจจะทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งโรคแทรกซ้อนนี้สามารถคร่าชีวิตได้ หากผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก, ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และติดยาเสพติด เป็นต้น

ผู้แสดงความคิดเห็น ไขหวัด2009 วันที่ตอบ 2010-08-10 21:43:30 IP : 124.121.71.48



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.