ReadyPlanet.com


Faith of do re mi บทสนทนาเรื่องดนตรีและศิลปะของโอ๊ต มณเฑียรและโจนัส เดปต์


 

  ผมเป็นอีกหนึ่งคนที่เคยเรียนเปียโนตอนเด็ก ครูของผมเป็นชายหนุ่มผู้นุ่มนวล พูดจาไพเราะ อดทนและยิ้มแย้มกับการต้องแก้ต่ำแหน่งวางมือผิดๆ ซ้ำไปซ้ำมาของผมเสมอ ผมจำไม่ได้ว่าท่านเล่นเพลงได้ไพเราะหรือไม่ แต่ที่จำได้คือทุกๆ วันอาทิตย์ท่านจะแต่งตัวเรียบร้อยเป็นพิเศษ ขอบเสื้อเชิ้ตขาวถูกเหน็บเข้าในกางเกงตลอดเวลา กลิ่นโคโลญจน์หอมลอยมาจากข้อมือ พร้อมผมที่หวีเรียบลงน้ำมันเงาวับ รองเท้าหนังสุดสมาร์ต มาทราบทีหลังว่าท่านมีความเชื่อแบบคริสเตียน และเป็นมือเล่นคีย์บอร์ดที่คริสตจักรในหมู่บ้าน ดังนั้นชุดที่ใส่อาจเรียกได้ว่าเป็น "Church Outfit" ซึ่งเป็นธรรมเนียมของผู้ศรัทธาในการเลือกใส่เสื้อผ้าที่ดีที่สุด เรียบร้อยที่สุด ไปร่วมพิธีมิสชา ผมเฝ้ารอวันสุดสัปดาห์ที่จะไปเรียนเปิยโนกับคุณครูท่านนี้เสมอ ท่องจำตัวโน้ต โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โด"ให้ขึ้นใจ โดยไม่เคยรู้ว่ามันแปลว่าอะไร มาจากไหนรู้แค่ว่ามันคือส่วนหนึ่งของภารกิจเพื่อจะได้อยู่ในห้องเรียนนั้นนานเท่านาน เสียดายที่สุดท้ายผมมีความจำเป็นจะต้องหยุดเรียนไปในเวลาไม่ถึงปี

     สามสิบปีผ่านไป ครั้งแรกที่ผมได้ชมเดปต์เล่นคอนเสิร์ต เสื้อเชิ้ตขาวที่ถูกเหน็บเข้ากางเกงอย่างเรียบร้อย ทำให้ผมนึกถึงคุณครูสอนเปียโนคนแรกของผมไม่น้อย เมื่อผมเล่าเรื่องเขาให้ฟังเดปต์ก็หัวเราะออกมา "อันที่จริงมันมาจากคำแรกในบทสวดนะ โด เร มี ฟา ซอล น่ะ"

     "ห๊ะ?" ผมอุทานแล้วเปิดสมุดโน้ตพร้อมจดบทเรียนจากคุณครูคนใหม่ "การเขียนโน้ตเพลงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการดนตรี แน่นอนว่ากระบวนการนี้ช่วยให้เราขับร้องหรือบรรเลงสิ่งเดิมซ้ำๆ ได้อย่างแม่นยำขึ้น อีกทั้งยังย่อขยายปรับโครงสร้างของเพลงได้อย่างเป็นรูปธรรมมันเริ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงต้นของยุคกลางหรือยุคมืด (Medieval)" เรื่องนี้มีทีท่าว่าจะเป็นบทเรียนที่ยาวพอควร จากนั้นเดปต์ก็จุดบุหรี่แล้วอธิบายต่อ "ช่วงนั้นศาสนจักรมีอำนาจอย่างมากการเข้าโบสถ์ถือเป็นสิ่งสำคัญของประชากร เป็นพื้นที่สำคัญในสังคมในยุโรป ศิลปะต่างๆ ถูกสร้างเพื่อรับใช้ศาสนาเท่านั้น การสวดมนต์สารภาพบาปในพิธีมิสชาสำคัญมาก นักบวชใช้เวลาไปมากกับการคิดเขียนคำสอน ไปจนถึงคิดวิธีขับร้องในทำนองบทสวดเพื่อสร้างอารมณ์ร่วมกับคนที่มาฟังเทศน์ ก่อกำเนิดสิ่งที่เรียกว่า "Plainchantและ "Gregorian Chant" (มาจากการรวบรวมและเรียบเรียงเพลงสวดของพระสันตะปาปาเกรกอรี)นอกจากนี้ยังมีนักบวชชาวอิตาเลียนชื่อ กุยโดแห่ง อาเรซโช (Guido d"Arezzo) ท่านได้สังเกตถึงความยากที่นักร้องต้องจดจำเพลงสวดให้ได้ภายในเวลาอันสั้น เลยคิดวิธีการจำด้วยการใช้มือที่เรียกว่า "Guidonian Hand" โดยการตั้งชื่อโน๊ตให้สัมพันธ์กับส่วนต่างๆ บนมือ"

     เดปต์เอามือผมขึ้นมาชี้จุดต่างๆ ที่เคยเป็นชื่อโน้ต ท่าทางดูคล้ายกับหมอดูลายมือไม่มีผิด"เขาได้พัฒนาวิธีการสอนใหม่ๆ เช่น คิดค้นระบบบันทึกโน้ตดนตรีแบบสัญลักษณ์บรรทัดเส้น(Staff Notation) สมัยใหม่ แถมคิดค้นบันไดเสียง โด เร มี ฟา ซอล ลา" ซึ่งแต่ละคำดึงมาจากพยางค์แรกท่อนวรรคจากบทสวดของ นักบุญยอห์น "Ut queant laxis"

Ut queant laxis

resonare fibris

Mira gestorum

famuli tuorum,

Solve polluti

labii reatum,

Sancte lohannes.

"So that your servants may, with loosened voices,resound the wonders of your deeds, clean the guilt from our stained lips, O Saint John. เว็บ บาคาร่า ที่มีความนิยมสูง

     "เร มี ฟา ซอล ลา ฉันเห็นนะ แต่ โด กับ ที อยู่ตรงไหนกัน?" ผมตั้งคำถามอย่างฉงน"เป็นคำถามที่ดีมาก จริงๆ แล้วอย่างที่คุณเห็นว่าพยางค์แรกของวรรคแรกนั้นเป็น "U"แต่มันออกเสียงยากมาก พอมาช่วงปี 1600s นักทฤษฎีดนตรีชื่อ โจวานนี บัตติสตา โดนี(Giovanni Battista Doni) เสนอให้เปลี่ยน Utเป็น "Do" ตามนามสกุลเขาแทน ส่วนโน้ตตัวที่เจ็ด "Si" (จากชื่อย่อของบรรทัดสุดท้าย "Sancte Iohannes" ซึ่งเป็นภาษาละตินสำหรับคำว่า"St. John the Baptist") ถูกเพิ่มเข้ามา จากก่อนหน้าที่ทางโบสถ์มองว่าการผสมโน้ตนี้ทำให้เกิดDiabolicus in Musica หรือเสียงประสานของปีศาจ เป็นคลื่นเสียงที่ไม่สมดุล ไม่ลงรอยกันสักเท่าไหร่ อีกทั้งเป็นคู่ผสมที่เราจะได้ยินในดนตรีอาหรับหรือชาวยิปซี ซึ่งโบสถ์มองว่าเป็นคนนอกรีตด้วย ต่อมามันจึงถูกเปลี่ยนเป็น "T"เพื่อให้ทุกเสียงเริ่มต้นด้วยพยัญชนะที่ต่างกัน"

     นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เรียนรู้ที่มาที่ไปของสิ่งที่เคยท่องจำมาเสมอ เมื่อนั่งคิดดู ผมจึงนึกได้ว่าช่วงตอนประถมเคยได้ฝึกร้องเพลงที่เกี่ยวกับโน้ต โด เร มี อยู่เพลงหนึ่ง มาจากละครเพลงThe Sound of Music ประพันธ์โดยริชาร์ด ร็อดเจอร์ส (Richard Rodgers) และออสการ์ แฮมเมอร์สไตน์ที่ 2 (Oscar Hammerstein II)เล่นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1959 ต่อมาถูกตัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 1965 นำแสดงโดยจูลี แอนดรูวส์ (Julie Andrews)

     "คุณเชื่อไหม ผมนึกว่าชื่อ โด" มาจากกวางตัวเมีย (Doe, a deer, a female deer) "เร" มาจากรังสีแสงอาทิตย์ (Ray, a drop of golden sun)"มี" มาจากชื่อเรียกของฉัน (Me, a nameI call myself) ฯลฯ ตามเนื้อเพลงนั้นมาตั้งนานพอมาคิดๆ ดูมันก็ไม่ค่อยเมกเซนส์เท่าไหร่จริงๆ ด้วย" ผมสารภาพ "แต่ละความหมายของแต่ละคำมันไปคนละทิศละทางเลย"

     เดปต์หัวเราะกับความเข้าใจผิดของผมแต่ถ้าให้ผมเล่าล่ะก็ ละครเพลงนี้กลับมีจุดน่าสนใจไม่น้อย "จะว่าไปก็เกี่ยวกับโบสถ์เหมือนกันนะเพราะตัวละครหลักชื่อมาเรีย เป็นแม่ชีผู้ชอบร้องเพลง และตัวละครนี้ก็เคยมีอยู่จริงด้วยโดยเธอเป็นเด็กสาวชาวออสเตรียที่ชอบดนตรีมาก จึงเข้าโบสถ์เพื่อจะได้ฟังและร้องเพลงไปๆ มาๆ ก็เกิดศรัทธาจนตัดสินใจบวชเป็นแม่ซี่ฝึกหัด และโดนส่งไปช่วยเลี้ยงเด็กที่บ้านของกัปตันวอน แทรป*** จริงๆ ตามในหนังเลยตอนแรกเธอไม่ได้รักกัปตันวอน แทรปป์ เธอเด็กกว่าเขาจนไล่เลี่ยกับลูกคนโตของกัปตันด้วยซ้ำแต่สุดท้ายเมื่อแต่งงานกัน เธอสอนลูกกัปตัน

ให้ร้องเพลงจนตั้งเป็นคณะนักร้อง สุดท้ายโด่งดังเดินสายแสดงทั่วประเทศ" ผมเล่า

     "ปกติผมไม่สนใจละครเพลง แต่พอคุณเล่าแล้วก็น่าไปหาดูขึ้นมาเลย" เมื่อเราค้นหาคลิปเพลง "โด เร มี" เปิดฟังจากยูทูบ ปรากฎว่าในหนังมีฉากที่ร้องเพลงนี้สองฉาก ฉากแรกคือฉากที่คุ้นเคย มาเรียพาเด็กๆ ออกไปวิ่งเล่นในธรรมชาติและสอนเพลงนี้ให้พวกเขาร้องตามอย่างสนุกสนาน ส่วนอีกฉากนั้นเป็นช่วงท้ายของเรื่องที่ครอบครัววอน แทรปป์ไปยืนร้องเพลงในโรงละครที่ดูเคร่งเครียดกว่า และในกลุ่มผู้ชมของพวกเขามีทหารในชุดนาซีนั่งสังเกตการณ์อยู่ฉากนี้ถือเป็นอีกฉากที่สร้างมาจากเรื่องจริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ความกดดันจากทหารทำให้ครอบครัววอน แทรปปิตัดสินใจย้ายลี้ภัยไปอเมริกาในที่สุด เมื่อฟังดีๆ จะเห็นว่าเพลง"โด เร มี" ในฉากนี้ขับร้องในลักษณะที่ชับซ้อน และต่างไปจากฉากแรกด้วย

     "อ๊ะ นั่นมันสไตล์การร้องแบบคันทาทา(Cantata) ของโยฮันน์ เซบาสเตียน บาค(Johann Sebastian Bach) นี่นา" เดปต์ตั้งข้อสังเกตขึ้นมา แน่นอนว่าผมไม่รู้ว่าคันทาทาคืออะไร เขาจึงอธิบายต่อไปว่ามันคล้ายกับอุปรากรณ์โอเปร่า แตถูกแต่งขึ้นมาเพื่อขับร้องในโบสถ์ และเล่าเรื่องร้าวจากไบเบิลเท่านั้น"บาคประพันธ์งานแบบนี้ไว้มากกว่า 200 ชิ้นแหนะ แน่นอนว่ามันเป็นการว่าจ้างโดยศาสนจักรมันเป็นอีกกลวิธีหนึ่งเรียกคนเข้าวัดในยุคนั้นเวลาคนไปทำพิธีทางศาสนาแต่ละครั้ง ก็ได้ชมละครและฟังเพลงที่ไม่ซ้ำกันเลย

     "เอ้อ พูดถึงออสเตรียและการเขียนโน้ตคุณรู้ไหมว่าเมื่อก่อนเวลาเขียนสกอร์เพลง หรือการจูนเสียงเครื่องดนตรีนั้นไม่ได้มีความแน่นอนสักเท่าไหร่ จนเมื่อศตวรรษที่ 19 นี้เอง ที่มีการตกลงกันว่าโน้ต "ลา" หรือ "A" จะยึดความถี่ 440 เฮิร์ตเป็นหลัก และการจูนนี้ได้รับการรับรองจากรัฐบาลออสเตรียในปี ค.ศ. 1885 ด้วย" เดปต์เล่า"จากวิธีอ่านดนตรีที่คิดค้นขึ้นในโบสถ์ยุโรปมันได้เดินทางแผ่ขยายข้ามน้ำข้ามทะเลไปทั่วโลกและกลายเป็นภาษาที่ใช้อ่านดนตรีอย่างสากลในปัจจุบัน" ผมพยักหน้า "ขนาดประเทศไทยเองก็เขียนโน้ตดนตรีที่ใช้ระบบนี้"

     เมื่อพูดถึงเพลงไทย ในหัวผมมีเพลง "โด้ เรหมี่ โด๊ เร้ หมี่ ซ้อนหล่า หนูขอเวลาสักสามนาที"ขึ้นมาทันควัน แต่คิดว่าถ้าจะอธิบายให้เดปต์ฟังเกี่ยวกับเพลงที่ว่านี้คงใช้เวลายาวเกินไปผมเลยชวนคุยเรื่องอื่นแทน

     "คุณคิดว่าทำไมประเทศไทยถึงไม่มีระบบการเขียนดนตรีเป็นของตัวเองล่ะ?"

     "นั่นสินะ ดนตรีเป็นส่วนสำคัญในพิธีกรรมความเชื่อของคนทั่วโลก ตั้งแต่การตีกลองของแอฟริกาวุดูที่เป็นเอกลักษณ์ ขนาดที่อินโดนีเชียก็มีวิธีการทำความเข้าใจจังหวะกาเมลันเป็นของตัวเอง ในศาสนาฮินดูของอินเดียยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เขามีสเกลเสียงที่ซับซ้อนกว่าทางตะวันตกด้วยซ้ำแต่เมืองไทยเหมือนว่าดนตรียังแยกเป็นดนตรีพื้นบ้าน (Folk) กับดนตรีชั้นสูงอยู่มาก การพัฒนา เลยอาจจะเกิดได้ในวงแคบและเข้าถึงยากโดยคนส่วนใหญ่ล่ะมั้ง คุณคิดว่าไงล่ะ" ผมคิดสักครู่

ก่อนจะเสริมไปว่า "ในศาสนาพุทธ ขนบไทยไม่ให้ความสำคัญกับดนตรีนะ การบรรเลงนาฎศิลป์ถือเป็นเรื่องบาปและผิดศีลด้วยซ้ำอาจจะเป็นเหตุผลนี้นะ ที่ดนตรีของไทยไม่ได้รุ่งเรืองตามความเชื่อไปด้วย" ผมตอบ

     "แต่เวลาผมไปวัดไทย พระก็เทศน์เป็นจังหวะนะ บางทีเหมือนกับดนตรีแร็ปเลยด้วยซ้ำ"เราสองคนเห็นพ้องกันเรื่องนี้ด้วยเสียงหัวเราะไปพักใหญ่ นึกๆ ดูก็น่าขำ ที่ผมเองเป็นคนไทยแต่เรียนรู้ดนตรีจากโบสถ์คริสเตียน ส่วนเดปต์ที่เป็นชาวยุโรปไม่ได้เรียนดนตรีจากศาสนาใดเลย

     "ผมเริ่มเล่นเปียโน เพราะมีคนเอามาทิ้งไว้ที่บ้าน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเบลเยียมจะยกเปียโนให้กันฟรีๆ เนื่องจากย้ายบ้านแล้วไม่สะดวกที่จะเอามันไปด้วย เพราะราคาเปียโนไม่ได้แพงเหมือนที่ไทย ส่วนครูคนแรกของผมเป็นเพื่อนในหมู่บ้าน เขาสอนเพลงง่ายๆ ให้ผมสามเพลงตอนผมอายุ 7 ขวบ หลังจากนั้นผมก็ไปเรียนอย่างจริงจังจนเข้ามหาวิทยาลัยด้านดนตรีโดยเฉพาะ"เดปต์เล่า "ถึงผมจะไม่ใช่คนที่มีศรัทธาในศาสนาไหนเป็นพิเศษ แต่ก็รู้สึกถึงมนตร์ขลังทุกครั้งที่

เล่นเปียโน เวลาไม่เดินตามเข็มของนาฬิกาแต่ยืดช้าเร็วไปตามคีย์บอร์ดที่เราบรรเลงต้องยอมรับว่าดนตรีเป็นสิ่งเชื่อมเรากับความรู้สึกของคลื่นพลังงานที่ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ"


 



ผู้ตั้งกระทู้ ืngongsus :: วันที่ลงประกาศ 2022-06-20 13:38:42 IP : 124.122.132.18


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.